ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 ก.ค.63 ปิดที่ 1,328.53 จุด บวก 12.79 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 61,281.13 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,131.58 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 39 บาท บวก 1 บาท, AOT ปิด 51.50 บาท ลบ 0.75 บาท, KBANK ปิด 81 บาท ลบ 1.50 บาท, GULF ปิด 33.75 บาท บวก 0.25 บาท และ IVL ปิด 25 บาทบวก 1.50 บาท มีแรงซื้อกลับหุ้นรายกลุ่มรายตัวที่ราคาปรับตัวลงแรง ดันดัชนีมาปิดตลาดในแดนบวก
หุ้น AOT ร่วงหลังผู้บริหารออกมายอมรับว่า วิกฤติโควิดที่กระทบกับการเดินทางทั่วโลกรวมทั้งในประเทศส่งผลกระทบต่อธุรกิจการบินอย่างรุนแรง ทำให้บริษัทมีปัญหาขาดสภาพคล่องและอาจทำให้ปี 64 บริษัทอาจมีผลขาดทุนได้ และมีการขยายเวลาสัมปทานกับคิงเพาเวอร์ออกไปรวมทั้งปรับการจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำให้คิงเพาเวอร์
สำหรับมุมมองโบรกเกอร์สำนักต่างๆ นั้น บล.บัวหลวงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 68 บาทตามด้วย บล.ทิสโก้ แนะ “ซื้อ” ให้มูลค่าที่เหมาะสม 64 บาท ขณะที่ โนมูระ พัฒนสิน แนะ “Trading Buy” ให้ราคาเป้าหมาย ที่ 59 บาท ส่วน หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะ “TRADING” ให้ราคาเหมาะสม 52.50 บาท
ด้าน บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะแค่ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท ขณะที่ บล.กรุงศรี แนะ “ถือ” เช่นกัน โดยให้ราคาเป้าหมาย 56 บาท
สำหรับเหตุผลของ บล.บัวหลวง ที่แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 68 บาท ระบุว่าการปรับการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ, สัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิและ 3 สนามบินภูมิภาครวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่ King Power ชนะไปในปี 2019 จากเดิม “แบบขั้นต่ำเป็นจำนวนเงิน” เป็น “แบบต่อหัวขั้นต่ำ (sharing per head)” นั้น
เราปรับลดประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนการปรับลดค่าตอบแทน ปี FY65-66 ลง 6% และ 12% ตามลำดับ โดยที่ปี FY65 จะกระทบครึ่งปี (สัมปทานเริ่ม 1 เม.ย.65) และปี FY66 กระทบเต็มปี และคาดปี FY67 จะกลับมาในระดับก่อน COVID ได้ ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้นจะถูกกดดันจากการปรับลดกำไรในระยะสั้น
ประเมินผลกระทบต่อกำไรที่เสียโอกาสไปราว 0.35 บาท/หุ้น จึงคงคำแนะนำ ซื้อสำหรับการลงทุนระยะยาว!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ