ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 7 พ.ค.63 ปิด 1,257.98 จุด ลดลง 20.65 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 56,253.32 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,045.24 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 22.10 บาท ลบ 1.20 บาท, CPALL ปิด 70 บาท บวก 0.25 บาท, PTT ปิด 34.25 บาท ลบ 0.75 บาท, PTTEP ปิด 82.50 บาท ลบ 1.50 บาท, INTUCH ปิด 55.25 บาท บวก 1.75 บาท
ตลาดหุ้นปรับตัวลงหลังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้น ขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้กดดันให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) และกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออก
“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เผยว่า การลงทุนเดือน พ.ค. ต้องระวังความผันผวนเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของเดือน เนื่องจากนักวิเคราะห์น่าจะเริ่มปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 63 ลงอีก หลังรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 63 ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบเต็มที่จาก COVID-19 และการปิดเมือง จึงคาดว่าผลกระทบหนักที่สุด น่าจะเกิดขึ้นกับผลประกอบการไตรมาส 2
นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรของตลาดปี 63 ไปแล้ว 27.4% มาอยู่ที่ 74.0 บาทต่อหุ้น และปี 64 ถูกปรับลงไป 19.4% มาอยู่ที่ 89.1 บาทต่อหุ้น
การประเมินมูลค่าหุ้นเข้าสู่ภาวะตึงตัวมากขึ้นจากระดับปัจจุบัน ที่ดัชนีหุ้นไทยซื้อขายที่อัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน ที่ 16.0 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า มองว่าการซื้อขายที่เข้าใกล้ระดับค่าเฉลี่ยในอดีตอาจสูงเกินไป เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง และการแพร่ระบาดไวรัสมีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรของตลาดที่ถูกปรับลงทุกๆ 1% จะมีผลต่อการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทย 13 จุด และช่วงเวลาดังกล่าว นักลงทุนน่าจะกลับมาติดตามสถานการณ์โควิดอีกครั้ง หลังผ่านการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 2 สัปดาห์
ดังนั้น บล.ทิสโก้ยังคงมีมุมมองว่าดัชนีหุ้นไทยระดับปัจจุบันเริ่มมีกรอบในการปรับขึ้น (Upside) จำกัด และช่วงนี้ไม่ใช่จังหวะซื้อเพื่อการลงทุน แต่เป็นการซื้อเพื่อการเทรดดิ้งรอบสั้นๆ หุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเลือกลงทุนเดือนนี้ คือ
1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แนะ BEM, CPALL, CPN และ HMPRO
2.หุ้นที่คาดงบจะออกมาดี แนะ RBF–SMPC
3.หุ้นที่มีศักยภาพเติบโตแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แนะ BAM
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ