ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 29 พ.ค.63 ปิดที่ 1,342.85 จุด เพิ่มขึ้น 5.34 จุด มีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 96,186.64 ล้านบาท ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 5,504.30 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 23.60 บาท บวก 0.20 บาท, BANPU ปิด 6.25 บาท ลบ 0.80 บาท, AWC ปิด 4.74 บาท ลบ 0.04 บาท, PTT ปิด 35.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, GULF ปิด 37.75 บาท บวก 0.75 บาท
มีแจ้งข่าวตลาดจาก NOBLE ปฏิเสธข่าวเทกโอเวอร์ LPN ว่าไม่เป็นความจริง หากบริษัทฯ ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมแล้ว จะรีบแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯโดยเร็วต่อไป
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนปี 63 และปี 64 ใหม่ อยู่ที่ 6.88 แสนล้านบาท (ลดลง 26.4%YoY) และอยู่ที่ 8.33 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 21% YoY) ตามลำดับ โดย EPS 63F เหลือเพียง 64 บาท/หุ้น (ลดลง 27.5%YoY) และ EPS64F เหลือเพียง 77.4 บาท/หุ้น (เพิ่มขึ้น 21.0%YoY)
ส่วน PE ของตลาดที่เหมาะสม ได้ Sentiment จากการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในช่วงที่ผ่านมา ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยซื้อขายบน PE ที่สูงขึ้น 0.79 เท่า ถือการเปิด Upside ของดัชนีราว 51 จุด ตามประมาณการ EPS ใหม่
หากประเมินเป้าหมายดัชนี บนคาดการณ์ EPS ของตลาดปี 63 ใหม่ที่ 64 บาท/หุ้น และให้ Market Earning Yield Gap ที่ 5%, Bond Yield 1 ปี เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% จะให้ค่า PER เป้าหมายที่ 18.2 เท่า คิดเป็นดัชนีเป้าหมายปี 63 ที่ 1,164 จุด และเป้าหมายปี 64 ที่ 1,407 จุด
ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยไม่สามารถชดเชยกำไรที่ลดลงได้ กดเป้าหมายดัชนีปีนี้ลดลง เพราะเป้าหมายที่เหมาะสมของดัชนีในปีนี้เหลือเพียง 1,164 จุด เท่ากับว่าที่ระดับดัชนีปัจจุบันไม่เหลือ Upside ทางพื้นฐานแล้ว หรือในอีกทางหนึ่งกล่าวได้ว่าที่ระดับดัชนีปัจจุบันซื้อขายบนความคาดหวังของกำไรปี 64 (มองข้ามปี 63 ที่เป็นหลุมลึกของผลประกอบการไป)
แนะกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนในยามที่ Valuation ตลาดเริ่มตึง ท่ามกลางความไม่แน่นอน ให้น้ำหนักไปที่หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งผันผวนต่ำ และปันผลสูงเป็นหลัก เช่นเดียวกับพอร์ตจำลองของฝ่ายวิจัยฯ ส่วน Toppick เลือก BBL–BDMS!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ