Home Blog Page 43

เงาหุ้น : โฟกัสหุ้นทีวีดิจิทัล

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 พ.ค.63 ปิดที่ 1,266.02 จุด เพิ่มขึ้น 8.04 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 44,086.49 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,284.23 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 72 บาท บวก 2 บาท, PTT ปิด 35.25 บาท บวก 1 บาท, ADVANC ปิด 193.50 บาท ลบ 4 บาท, BAM ปิด 22.20 บาท บวก 0.10 บาท และ AOT ปิด 59.75 บาท บวก 0.25 บาท

หุ้นไทยรีบาวน์ขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังปรับตัวลงแรงกว่า 40 จุด!!

บล.เคทีบี ออกบทวิเคราะห์หุ้นทีวีดิจิทัลระบุว่า ปี 63 จะได้รับผลกระทบมาก จาก COVID-19 และเศรษฐกิจที่ชะลอ โดยคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Media (Digital TV) ที่ “น้อยกว่าตลาด” และปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” จากเหตุผล 3 ปัจจัยหลัก คือ

1.ผลประกอบการกลุ่มปี 63 ต่ำสุดในรอบ 8 ปี จากผลกระทบของ COVID-19 2.การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงของกลุ่มทีวีดิจิทัล ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขึ้นราคาค่าโฆษณาได้ แม้เรตติ้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

และ 3.เศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาก โดย ธปท.ประเมิน GDP growth ปีนี้ติดลบ 5.3% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินโฆษณารวมลดลง 5.8% YoY เนื่องจากผู้ประกอบการลดงบโฆษณา โดยเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

ทั้งนี้ ประเมินผลประกอบการ Q1/63 หุ้น BEC คาดขาดทุนปกติที่ -254 ล้านบาท (จาก Q1/62 ที่ขาดทุน 128 ล้านบาท, Q4/62 ขาดทุน 113 ล้านบาท) และหุ้น WORK คาดขาดทุนสุทธิที่ 10 ล้านบาท (พลิกจากกำไรสุทธิใน Q1/62 ที่ 75 ล้านบาท และฟื้นตัว QoQ จากขาดทุนสุทธิใน Q4/62 ที่ 31 ล้านบาท)

และเชื่อว่า COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อเนื่องใน Q2/63 เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการได้ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดทำให้ event ต่างๆได้ถูกเลื่อนออกไป คาดผลประกอบการจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ Q3/63 เป็นต้นไป หลัง COVID-19 คลี่คลาย

ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำหุ้น BEC ลงเป็น “ขาย” และ Rollover ราคาเป้าหมายปี 2564E ที่ 3.84 บาท อิง PBV 1.37 เท่า จากเดิมแนะ “ถือ” ส่วนหุ้น WORK ปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” และ Rollover ราคา เป้าหมายเป็นปี 64 ที่ 8.10 บาท อิง PBV 0.72 เท่า จากเดิมแนะ “ถือ”

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ออมสินให้ชะลอจ่ายหนี้บัตรเครดิตกับบัตรเงินสด

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการให้ชะลอการชำระหนี้บัตรเครดิตและบัตรเงินสด เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19

โดยการชะลอการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสดที่มีประวัติดีไม่เป็นหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน และไม่ใช่ลูกค้าโครงการ GSB Refinance ลูกหนี้ดี โดยชะลอการชำระหนี้สูงสุด 3 รอบบัญชีอัตโนมัติ วันสรุปยอดบัญชีตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563

มาตรการชะลอการชำระหนี้ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสด ในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19)

▪ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสดธนาคารออมสินที่มีสถานะบัญชีไม่ค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน

▪ ชะลอการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสด ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 ดังนี้
▪ ในระหว่างที่ลูกค้าเข้าร่วมมาตรการชะลอการชำระหนี้ภาระสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสด ในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ธนาคารยังคงคิดอัตราดอกเบี้ยที่เกิดจากการใช้จ่ายของลูกค้าตามปกติ
▪ กรณีที่ลูกค้าเลือกผ่อนชำระค่าสินค้าและบริการ (Sabaijai On Call) สามารถเข้าร่วมมาตรการได้แต่เมื่อสิ้นสุดมาตรการลูกค้าจะต้องจ่ายยอดผ่อนชำระค่าสินค้าและบริการย้อนหลังตามจำนวนรอบบัญชีที่ลูกค้าชะลอการชำระหนี้
▪ ชะลอการชำระค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม ค่าจัดการ และค่าบริการอื่นๆ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสด ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2563
▪ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลามาตรการชะลอเงินต้นและดอกเบี้ยดังกล่าวข้างต้นแล้ว ลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบัตรเงินสดต้องชำระเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายที่การติดตามทวงถาม ค่าจัดการและค่าบริการอื่นๆ ตามปกติ
▪ ลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อบัตรเงินสด GSB Refinance ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการพักชำระดังกล่าวได้
▪ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
▪ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2299 8888

บีทีเอสกรุ๊ปฯ ปลื้ม ได้รางวัล Best Green Bond 2019

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ได้รับรางวัล Best Green Bond ประจำปี 2019 ในประเภท Best Deal หมวดธุรกิจขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน ในงาน The Asset Triple A Sustainable Capital Markets Regional Awards 2019 โดยหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Green Bond ดังกล่าว เป็น Green Bond ชนิดไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่ารวมไม่เกิน 13,000 ล้านบาท

อีกทั้งยังเป็น Green Bond ชุดแรกของประเทศไทยที่เสนอขายภายใต้เกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นอย่างดี

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง อันเป็นโครงการสำคัญที่จะส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนด้วยพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้รถยนต์ และจะช่วยลดการปล่อยมลภาวะในเขตกรุงเทพมหานครได้อย่างมาก

ซีพีเอฟ มอบคูปองส่วนลด 1 ล้านใบ เป็นกำลังใจให้อสม.ทั่วประเทศ

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า อสม. 1.4 ล้านคน ถือเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยที่ช่วยเหลือสังคมอย่างเข้มแข็งมาตลอด และเป็นกลุ่มที่มีต้นทุนเครือข่ายมหาศาล คุณค่าของ อสม. คือการได้ทำงานมากกว่าต้องการผลตอบแทน

“วันนี้ กระทรวงฯ สร้างคุณค่าเพิ่มของจิตอาสาให้เป็นหน้าด่านของประเทศไทยในการเป็นผู้คัดกรองโรคไม่เฉพาะโรคโควิด 19 และยังดูแลสุขภาพคนในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง” นายสาธิต กล่าว

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าเพิ่มว่า อสม. เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่เสียสละไปดูแลคนไทยทุกบ้านและให้คำแนะนำอย่างถูกวิธีกรณีผู้กักตัวเอง ทำให้การควบคุมโรคในต่างจังหวัดทำได้ดี

นายจำรัส คำรอด ประธานชมรม อสม. แห่งประเทศไทย กล่าวว่า อสม. ทำงานมากกว่า 40 ปี ไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดๆ ทำด้วยใจจริง และต้องขอบคุณโรคโควิด 19 ที่ทำให้คนรู้จัก อสม. มากขึ้น สมาชิก อสม. ต้องการทำงานไม่ต้องการเงิน เป็นการทำงานด้วยใจ และสิ่งที่จะทำคือ ทำให้คนไทยปลอดจากโควิด 19

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ได้สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขเป็นโครงการที่ 4 ในการร่วมดูแล อสม. ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่เป็นด่านหน้า ค้นหาและคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเพื่อนำเข้าระบบการรักษาได้รวดเร็ว ตลอดจนให้ความรู้และย้ำความสำคัญของมาตรการเว้นระยะห่าง

บริษัท จึงขอมอบคูปอง “คูปองส่วนลดจากใจให้ อสม. #ฮีโร่ที่ลืมไม่ได้” จำนวน 1 ล้านใบ เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้ออาหารที่ร้านซีพี เฟรชมาร์ท เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และช่วยค่าครองชีพของอาสาสมัคร

การส่งคูปองจะทำผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อส่งต่อให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วประเทศ และนำไปแจกจ่ายให้กับ อสม. ในพื้นที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ทั่วประเทศอย่างทั่วถึงและนำไปใช้สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว โดย อสม. สามารถนำคูปองที่ได้รับ พร้อมบัตรประชาชนและบัตรประจำตัว อสม. ไปลงทะเบียนเพื่อสมัครเป็นสมาชิก ซีพี เซอร์ไพรส์ (CP Surprise) ในการรับสิทธิ์ได้ที่ร้านซีพีเฟรชมาร์ททั่วประเทศและสามารถใช้คูปองได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1788

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. ต่ำสุดในรอบ 22 ปี

รอปลดล็อคดาวน์อีกรอบ 17 พ.ค. ช่วยเติมเม็ดเงินหมุนเวียนได้ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดทรุดตัว หรือฟื้นจากจุดต่ำสุด

คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นจนเห็นได้ชัดประมาณไตรมาส 2 ปี 2564

ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษยน 2563 เปิดเผยโดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

พบว่าปรับตัวลดลงทุกรายการ โดยส่วนใหญ่ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เป็นเวลา 21 ปี 7 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดอย่างหนักทั่วโลก ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้ชะลอตัวอย่างมาก ตลอดจนตวามกังวลของผู้บริโภคถึงภาวะว่างงานสูง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค โดยติดลบ 3 ไตรมาสติดต่อกัน และจะเริ่มเป็นบวกไตรมาส 4 ประมาณบวก 1-2% จากการรีสตาร์ทของภาคธุรกิจและ มาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ 400,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเห็นเม็ดเงินในระบบชัดเจนในช่วงต้นเดือนสิงหาคม และจะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 63 ติดลบน้อยลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะติดลบ 8.8% เป็นติดลบ 3.5-5.5%

ในสภาพปกติ จะมีเม็ดเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบประมาณ 600,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่เมื่อล็อกดาวน์ เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบหายไปประมาณ 50% และ การปลดล็อกภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นเกือบ 200,000 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดทรุดตัว หรือฟื้นจากจุดต่ำสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นจนเห็นได้ชัดประมาณไตรมาส 2 ปี 2564

คลังออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” 14 พ.ค.นี้

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ร่วมแถลงข่าวการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบ และแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามแผนงานโครงการของรัฐบาล ภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท

พันธบัตรออมทรัพย์เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายของรัฐบาลซึ่งจะสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยของประชาชนรายย่อย และเป็นการเยียวยาให้กลุ่มประชาชนที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดการเงินมีความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มจำหน่ายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 8.30 น. วงเงินไม่เกิน50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได รุ่นอายุ 5 ปี เฉลี่ยร้อยละ 2.40 และรุ่นอายุ 10 ปี เฉลี่ยร้อยละ 3.00 ต่อปี

ดบ.ผิดนัดแบบใหม่เริ่ม 1 พ.ค. เป็นธรรมขึ้น และลดหนี้เสีย

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่ที่คิดบนฐานของเงินต้นของค่างวดที่ผิดนัดชำระจริง สถาบันการเงินเริ่มใช้ไปแล้ว (เดิมคิดจากเงินต้นคงค้างทั้งหมด)

การปรับปรุงในครั้งนี้จะช่วยให้แนวปฏิบัติในเรื่องนี้เป็นธรรมมากขึ้น และช่วยลดภาระของประชาชน รวมทั้งลดโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ ซึ่งแนวทางใหม่นี้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่ต่างประเทศใช้กัน ทั้งนี้ ประชาชนจะได้รับสิทธิจากการปรับปรุงในครั้งนี้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องไปขอแก้ไขสัญญา ไม่รวมงวดชำระในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

นางธัญญนิตย์ ชี้แจงว่า เดิมนั้นการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของ “เงินต้นคงค้างทั้งหมด” สมมติว่าเรากู้ซื้อบ้าน 20 ปี 240 งวด ช่วง 2 ปีแรกผ่อนชำระดีมาโดยตลอด งวดที่ 25 มีปัญหาผ่อนชำระไม่ได้ สถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนฐานของเงินต้นคงค้างทั้งหมด หรือเงินต้นในค่างวดที่ 25 ถึงงวดที่ 240

ในขณะที่การคำนวณที่ปรับปรุงใหม่จะให้คิดบนฐานของ “เงินต้นในค่างวดที่มีการผิดนัดชำระจริง” เท่านั้น โดยจะไม่รวมเงินต้นในค่างวดตามสัญญาในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พูดง่ายๆ คือ การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่จะคิดบนฐานของเงินต้นในงวดที่ 25 เท่านั้น โดยจะไม่รวมเงินต้นในงวดที่ 26-งวดที่ 240

หลักคิดสำคัญในเรื่องนี้ คือ การกำหนดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ต้องคำนึงถึงความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นกับเจ้าหนี้ (credit risk) และความสามารถในการจ่ายของลูกหนี้ไปด้วยกัน ถ้าสูงเกินไปอาจเป็นต้นตอที่ทำให้ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ได้ (affordability risk) ลดผลกระทบการจ่ายล่าช้าช่วงโควิดและช่วยสถาบันการเงินให้มั่นคงขึ้นในระยะยาว

นางธัญญนิตย์ กล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้รายได้ของประชาชนจำนวนมากลดลง จึงมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะจ่ายค่างวดล่าช้าหรือไม่สามารถจ่ายได้ในช่วงนี้ ดังนั้น การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่จะช่วยให้คนไทยมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้โดยรวมลดลง”

แนวปฏิบัติของผู้ประกอบกิจการร้านอาหารช่วงผ่อนปรน

กรมอนามัย เปิดเผยถึงแนวทางปฏิบัตของผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร หลังจากรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการควบคุมช่วงโควิด-19 ระบาด ดังนี้

  1. จัดจุดคัดกรองผู้มาใช้บริการ หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก แนะนำให้ไปพบแพทย์
  2. ทานอาหารในร้าน แบบเว้นระยะห่าง ลดความแออัด เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโรค
  3. ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะที่ใช้บริการ
  4. จัดให้มีภาชนะส่วนตัว มีระบบชำระเงิน
  5. จัดจุดล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือ เจลล้างมือ
  6. ถังขยะมีฝาปิดมิดชิด และกำจัดอย่างถูกต้อง

ออมสินจ่อดำเนินคดี เพจหวยออนไลน์แอบอ้างชื่อ สลากออมสิน กับ โลโก้ธนาคาร

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ออกหนังสือชี้แจงว่า ธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจชวนเล่นหวยออนไลน์

เนื่องจาก ปรากฏว่า ตามสื่อโซเชียลมีเดีย มีเพจหวยออนไลน์หลายเพจ ในชื่อเพจ ฮอตไปอีก, เริ่มต้นบาทเดียวเด้อ, Freeburn, LOTTOLNW88 แอบอ้างนำข้อความ “สลากออมสิน” และตราโลโก้ของธนาคารออมสิน ไปเผยแพร่ และเชิญชวนให้คนซื้อหวยออนไลน์

ธนาคารออมสินขอชี้แจงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการกระทำดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธนาคารออมสิน และสร้างความเสียหายต่อประชาชนที่อาจถูกหลอกลวงให้เสียเงินเสียทรัพย์ได้

ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินการทางงกฏหมายกับผู้ที่แอบอ้างด้งกล่าว

เงาหุ้น : มุมมอง บล.ทิสโก้

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 7 พ.ค.63 ปิด 1,257.98 จุด ลดลง 20.65 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 56,253.32 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,045.24 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 22.10 บาท ลบ 1.20 บาท, CPALL ปิด 70 บาท บวก 0.25 บาท, PTT ปิด 34.25 บาท ลบ 0.75 บาท, PTTEP ปิด 82.50 บาท ลบ 1.50 บาท, INTUCH ปิด 55.25 บาท บวก 1.75 บาท

ตลาดหุ้นปรับตัวลงหลังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้น ขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้กดดันให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) และกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออก

“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เผยว่า การลงทุนเดือน พ.ค. ต้องระวังความผันผวนเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของเดือน เนื่องจากนักวิเคราะห์น่าจะเริ่มปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 63 ลงอีก หลังรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 63 ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบเต็มที่จาก COVID-19 และการปิดเมือง จึงคาดว่าผลกระทบหนักที่สุด น่าจะเกิดขึ้นกับผลประกอบการไตรมาส 2

นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรของตลาดปี 63 ไปแล้ว 27.4% มาอยู่ที่ 74.0 บาทต่อหุ้น และปี 64 ถูกปรับลงไป 19.4% มาอยู่ที่ 89.1 บาทต่อหุ้น

การประเมินมูลค่าหุ้นเข้าสู่ภาวะตึงตัวมากขึ้นจากระดับปัจจุบัน ที่ดัชนีหุ้นไทยซื้อขายที่อัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน ที่ 16.0 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า มองว่าการซื้อขายที่เข้าใกล้ระดับค่าเฉลี่ยในอดีตอาจสูงเกินไป เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง และการแพร่ระบาดไวรัสมีความไม่แน่นอนสูง

ทั้งนี้ ประมาณการกำไรของตลาดที่ถูกปรับลงทุกๆ 1% จะมีผลต่อการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทย 13 จุด และช่วงเวลาดังกล่าว นักลงทุนน่าจะกลับมาติดตามสถานการณ์โควิดอีกครั้ง หลังผ่านการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 2 สัปดาห์

ดังนั้น บล.ทิสโก้ยังคงมีมุมมองว่าดัชนีหุ้นไทยระดับปัจจุบันเริ่มมีกรอบในการปรับขึ้น (Upside) จำกัด และช่วงนี้ไม่ใช่จังหวะซื้อเพื่อการลงทุน แต่เป็นการซื้อเพื่อการเทรดดิ้งรอบสั้นๆ หุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเลือกลงทุนเดือนนี้ คือ

1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แนะ BEM, CPALL, CPN และ HMPRO

2.หุ้นที่คาดงบจะออกมาดี แนะ RBF–SMPC

3.หุ้นที่มีศักยภาพเติบโตแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แนะ BAM

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ