Home Blog Page 29

เปิดตัววอลเล็ต สบม. ซื้อขายพันธบัตรแบบดิจิทัล ครั้งแรกของไทย นำร่องกับพันธบัตรรุ่นสะสมบอนด์มั่งคั่ง

นำร่องกับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) รุ่นอายุ 3 ปี วงเงินรวมไม่เกิน 200 ล้านบาท

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ดร. อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัว วอลเล็ต สบม. (วอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง) เพื่อรองรับการซื้อขายพันธบัตรแบบดิจิทัล ครั้งแรกของประเทศไทย โดย

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้พัฒนาช่องทางการซื้อขายพันธบัตรด้วยวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จะได้เห็นการซื้อขายพันธบัตรผ่านช่องทางดิจิทัล โดยธนาคารได้ออกแบบแอปพลิเคชันเป๋าตัง ภายใต้โครงสร้างใหม่ เพื่อให้เป็นระบบการเงินแบบเปิด สามารถรองรับวอลเล็ตได้หลายตัวพร้อมๆกัน และมีการนำเทคโนโลยี Blokchain มาประยุกต์ออกแบบใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการเงินในโลกแห่งอนาคต สำหรับวอลเล็ต สบม.นี้ ได้ออกแบบการซื้อขายพันธบัตรให้เป็นแบบรวมศูนย์ ทำให้การจำหน่ายมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ซึ่งผู้ขายจะมีข้อมูลผลลัพธ์การขายเป็นรายนาที ขณะที่ผู้ซื้อเห็นข้อมูลของเงินและพันธบัตรในวอลเล็ตเดียวกัน และเมื่อมีการซื้อขายพันธบัตรแล้ว ข้อมูลการถือครองจะแสดงให้เห็นในวอลเล็ตทันที ไม่ต้องรอ 15 วันเหมือนที่ผ่านมา

พันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ยังมีเป้าหมายหลักที่จะส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงพันธบัตรได้อย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พันธบัตรออมทรัพย์มีหน่วยลงทุนขนาดเล็กเพียงหน่วยละ 1 บาท โดยลงทุนขั้นต่ำ 100 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ สร้างนิสัยการออมแก่กลุ่มเยาวชนด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย บนแพลตฟอร์มที่ทันสมัยและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า สามารถซื้อขายพันธบัตรด้วยตนเองบนวอลเล็ต สบม. ลดความยุ่งยากในการติดต่อกับตัวแทนจำหน่าย และการเก็บรักษาใบพันธบัตร

ผู้สนใจซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. กรณีที่มีแอปพลิเคชั่นเป๋าตังอยู่แล้ว เพียงสมัครวอลเล็ต สบม. และลงทะเบียนยอมรับเงื่อนไข สามารถใช้บริการได้ทันที สำหรับผู้ที่ยังไม่มีแอปฯ เป๋าตัง สามารถดาวน์โหลดแอปฯ ผ่านแอปสโตร์และกูเกิ้ลสโตร์ เลือกสมัครวอลเล็ต สบม. ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า แล้วกรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นใช้งานวอลเล็ต สบม. ได้ทันทีเช่นกัน โดยจะได้รับดอกเบี้ยเข้าวอลเล็ต ปีละ 2 ครั้ง และเมื่อพันธบัตร ครบกำหนดอายุ 3 ปี จะได้รับเงินต้นคืนเข้าวอลเล็ต นอกจากนี้ วอลเล็ต สบม. ยังสามารถดูข้อมูลการซื้อ ตรวจสอบประวัติการซื้อ และดาวน์โหลดเอกสารต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันได้อีกด้วย

ขั้นตอนการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. เพียงโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ด้วย Wallet ID และ QR PromptPay ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร เลือกพันธบัตรที่ต้องการซื้อ พร้อมทั้งสามารถศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลพันธบัตรที่ต้องการลงทุนได้ ระบุจำนวนเงิน และกดยืนยันการชำระเงิน ด้วย PIN ซึ่งจะได้รับหลักฐานการชำระเงินเป็น E-Slip Payment ที่จัดเก็บในมือถือโดยอัตโนมัติ และยังสามารถเข้าไปดูพันธบัตรที่ถือครองได้ใน พันธบัตรของฉัน โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างพัฒนาวอลเล็ต สบม. ให้สามารถซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่ไม่ต้องการรอรับเงินคืนเมื่อพันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอน ตลอดจนสามารถซื้อพันธบัตรโดยไม่ต้องรอรอบการจัดจำหน่ายพันธบัตร ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับพันธบัตรรัฐบาล รวมทั้งส่งเสริมตลาดเงินตลาดทุนของประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ พันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. จะเริ่มจำหน่ายในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 เวลา 8.30 น. อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.70 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 งวด ในวันที่ 24 ธันวาคม และ 24 มิถุนายนของทุกปี ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านวอลเล็ต สบม. ได้ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป

เงาหุ้น : เลือกเล่นหุ้นรายตัว

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 16 มิ.ย.63 ปิด 1,367.13 จุด เพิ่มขึ้น 25.14 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 68,452.22 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 422.78 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SUPER ปิด 0.93 บาท ลบ 0.10 บาท, KTC ปิด 30 บาท ลบ 3.50 บาท, PTTEP ปิด 94 บาท บวก 7 บาท, KBANK ปิด 99 บาท บวก 1 บาท และ PTT ปิด 38 บาท บวก 1.50 บาท

บล.โกลเบล็ก ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทย มีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก หลังนักลงทุนกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในสหรัฐฯ จีน และ ญี่ปุ่น ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 8.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นตัวกดดันตลาด และหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูงแตะ 79% ของจีดีพี กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่มีปัจจัยบวกการคาดการณ์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ที่มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวในรูป V-Shape และคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

ส่วนสถานการณ์ในไทยอยู่ในระดับที่ดี และ ครม.เก็บตกมาตรการเยียวยาให้กับผู้ที่ยังตกหล่นเข้าไม่ถึง และไฟเขียวแพ็กเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ แต่ยังคงต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลบวกที่ชัดเจน

ยังมีประเด็นที่ต้องจับตา คือ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น และอียูจะเปิดเผยความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเดือน มิ.ย. ขณะที่สหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และสต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น

และวันที่ 17 มิ.ย. ญี่ปุ่น เปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออกและดุลการค้าเดือน พ.ค. ขณะที่ อียูเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน พ.ค. และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงิน

ทั้งนี้ คาดการณ์ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,340-1,390 จุด

แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นรายตัวที่น่าจับตา คือหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Large Cap Index เช่น CRC และ DIF และดัชนี FTSE SET Mid Cap Index เช่น ACE, BAM, IMPACT, LH, MINT และ TQM รอบใหม่ซึ่งมีผล 22 มิ.ย.นี้ และหุ้นเข้าคำนวณดัชนี SET50 ได้แก่ BPP และ TTW ส่วนดัชนี SET100 ได้แก่ AAV, ACE, DOHOME, RBF, SIRI, TVO และ WHAUP

และหุ้นพื้นฐานดีที่ยัง Laggard ดัชนี กลุ่มโรงพยาบาล CHG BCH และกลุ่มสื่อสาร ADVANC!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ จัด Food Truck มอบอาหารให้ชุมชนจรัลฯ

CPF Food Truck จับมือ ก.เกษตรฯ และ 6 พันธมิตร เดินหน้าอาหารมั่นคง มอบอาหารปลอดภัย…ครั้งที่ 21 สู่ชุมชนจรัญฯ ศาลเจ้าปุงเท่ากง เขตบางพลัด

นายสมพร เจิมพงศ์ และ นายวิบูลย์ สุภัครพงษ์กุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร พร้อมด้วย นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ นายชนินทร์ รุ่งแสง คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้แทน รมว.เกษตรฯ นำชาวซีพีเอฟจิตอาสา มอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน จาก CPF Food Truck ในโครงการ “อาหารปลอดภัย จากใจ..สู่ชุมชน” ครั้งที่ 21 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงอาหารปลอดภัย ช่วยลดค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องชาวชุมชน ซ.จรัญสนิทวงศ์ 66/1 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ณ ศาลเจ้าปุงเท่ากง เขตบางพลัด กรุงเทพฯ

โครงการ “อาหารปลอดภัย จากใจ..สู่ชุมชน” จะส่งรถ CPF Food Truck ลงพื้นที่ ส่งมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามชุมชนต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมทั้งหมด 6 เขต ได้แก่ บางกอกน้อย บางพลัด ห้วยขวาง บางบอน หนองแขม และบางขุนเทียน อย่างต่อเนื่อง ในทุกวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์

นอกจากนี้ บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ อย่าง ข้าวตราฉัตร ร่วมมอบข้าวสาร และ True แจกซิมทรูมูฟเอช ตลอดจนพันธมิตร ได้แก่ โอสถสภา ร่วมแจกเครื่องดื่ม, Mc ยีนส์ ร่วมแจกหน้ากากผ้า พร้อมด้วย เนเจอร์ เบสท์ฟู้ด ร่วมแจกสาหร่ายปรุงรสโกลิโกะ และน้ำตาลลิน จากกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง

CPF ที่มุ่งมั่นช่วยเหลือประเทศชาติ ประชาชน ให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Good Corporate Citizen ตามหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงอาหารคุณภาพ อร่อย ปลอดภัย และถูกสุขอนามัย โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19

ครม.อนุมัติ 3 แพ็กเกจกระตุ้นท่องเที่ยว กำลังใจ-เราไปเที่ยวกัน-เที่ยวปันสุข

นาง นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยรายละเอียดและเงื่อนไขแยกเป็น 3 แพ็กเกจ ประกอบด้วย

นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แพ็กเกจกำลังใจ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์เป็นการมอบงบประมาณศึกษาดูงานแบบอบรม สัมมนา ผ่านผู้ประกอบการท่องเที่ยว หรือรัฐบาลจ่ายให้ 2,000 บาทต่อคน

แพ็กเกจเราไปเที่ยวกัน สำหรับประชาชนทั่วไปเป็นส่วนลดค่าจองห้องพักโดยช่วยจ่ายค่าห้องพัก 40% ต่อคืน ไม่เกิน 3,000บาทต่อคืน ได้รับเงินเที่ยว 600 บาทต่อคืน

และแพ็กเกจเที่ยวปันสุข สำหรับประชาชนทั่วไปเป็นส่วนลดค่าเดินทางทั้งตั๋วเครื่องบิน ค่ารถเช่าโดยรัฐช่วยจ่าย 40% สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท

เงาหุ้น : มุมมองเอเซียพลัส!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,341.99 จุด ลดลง 40.57 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 83,379.76 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4013.75 ล้านบาท

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ประเมินการประชุม กนง.สัปดาห์หน้า วันที่ 24 มิ.ย. คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% (ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์) โดยมีปัจจัยสนับสนุนความเชื่อดังนี้ Bond yield ไทย อายุ 1 ปี ล่าสุด แกว่งทรงตัวอยู่ที่ 0.5% ใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% บ่งชี้ได้ว่านักลงทุนในตลาดมีมุมมองอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับเดิมในครั้งนี้

ขณะที่ประเทศไทย ยังไม่พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศ ติดต่อกันรวม 20 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ส่งผลให้รัฐมั่นใจผ่อนคลาย และออกมาตรการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยว เช่น วันที่ 17 มิ.ย. เตรียมออกเสนอ ศบค.พิจารณา Travel Bubble คือเปิดรับนักท่องเที่ยวประเทศที่คุม Covid ได้ดี ไม่ต้องกักตัว 14 วัน ฯลฯ

ขณะที่ล่าสุดรัฐบาล ผ่อนคลายธุรกิจเฟสที่ 4 และยกเลิก Curfew เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นตัว รวมถึงเชื่อว่า กนง.จะเริ่มให้น้ำหนักนโยบายการคลังมากขึ้น คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ หลังจากปีนี้กระตุ้นผ่านนโยบายการเงิน คือ ลดอัตราดอกเบี้ยฯไปแล้ว 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25%

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสที่ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง หรือ 25 bps อยู่ที่ 0.25% จากการประชุมที่เหลืออีก 4 ครั้ง (5 ส.ค., 23 ก.ย., 18 พ.ย., 23 ธ.ค.) หาก

1. เศรษฐกิจไทยหดตัวมากกว่าคาดโดยเอเซีย พลัส ประเมิน GDP ปี 63 หดตัว 5.7% yoy มีความเสี่ยงเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่คาดว่าจะมาจากการระบาดรอบ 2, การ Lockdown ประเทศอีกครั้ง, สงครามการค้ารอบใหม่, ค่าเงินบาทหากแข็งค่าแรงกว่าคาด โดยล่าสุด แกว่งตัว 31 บาท

2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังเป็นบวก 3. Key massage การประชุมรอบล่าสุด ยังเน้นย้ำถึงหากสถานการณ์เศรษฐกิจแย่กว่าที่คาด ยังมีโอกาสใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มโดยรวม

ทั้งนี้ ดอกเบี้ยฯลดลงทุกๆ 0.25% จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยซื้อขายบน PE ที่สูงขึ้น 0.79 เท่า ถือเป็นการเปิด Upside ของดัชนีตลาดหุ้นไทย!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รวมเชฟแถวหน้า ปรุงเมนูอาหารอร่อย มอบให้คนทำงานพื้นที่สาธารณะ

โครงการ Chef Cares เฟส 2 เดินหน้า ส่งมอบเมนูชั้นเลิศเพื่อคนทำงานในพื้นที่สาธารณะ

นางมาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งโครงการ Chef Cares พร้อมด้วยเชฟระดับแถวหน้า เชฟสุพัฒก์ ชินแสงทิพย์ และ เชฟวรัษยา วงษ์สวรรค์ ร่วมกันมอบอาหารแสนอร่อย จากโครงการ Chef Cares ให้แก่ นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ นาย อัลวิน จี รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ เพื่อส่งมอบอาหารรสเลิศ 1,500 ชุด ตลอด 1 สัปดาห์ ให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานี เจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ตลอดจน รปภ. และบุคลากรของ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) และ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) สำหรับเป็นกำลังใจให้คนทำงานด้านสาธารณะที่ทำงานอย่างหนักในช่วงโควิด-19 ช่วยให้สังคมเดินหน้าต่ออย่างปลอดภัย

ครั้งนี้ เป็นอาหารที่ปรุงจากใจของ เชฟสุพัฒก์ ชินแสงทิพย์ จาก โรงแรม วี กรุงเทพฯ เอ็มแกลเลอรี โฮเทล คอลเลคชั่น ที่รังสรรค์เมนู “ไก่เบญจาอบตะไคร้ – ซอสแจ่วมะขาม – สลัดสมุนไพร” และ เชฟวรัษยา วงษ์สวรรค์ จากร้าน บ้านเบญจรงค์ ปาย กับเมนู “ปลากะพงทอดราดพริก” นอกจากรสชาติความอร่อยแล้ว ยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ดี

ทั้งนี้ การเดินหน้าโครงการ Chef Cares ในเฟส 2 ปรุงอาหารจากใจเพื่อเป็นกำลังใจแก่คนทำงานสาธารณะที่เสียสละนั้น เป็นความต่อเนื่องหลังจากเริ่มต้นดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เพื่อส่งมอบความห่วงใยแทนคำขอบคุณให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านเมนูอาหารกลางวัน ที่รังสรรค์โดยเชฟ ยอดฝีมือระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเสิร์ฟเมนูแสนอร่อยและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจาก ซีพีเอฟ เจียไต๋ฟาร์ม ข้าวตราฉัตร ไร่ชาอรักษ์ และใช้ครัว มาตรฐานสากลของโรงเรียนศิลปะการอาหารและผู้ประกอบการคูลิเนอร์ เป็นสถานที่ปรุงอาหาร

ล่าสุด โครงการนี้ส่งมอบอาหารของทีมเชฟ 50 ท่านใน 50 ร้านดัง รวม 150 เมนู ส่งตรงถึงมือทีมแพทย์ใน 15 โรงพยาบาล อาทิ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช รพ.ตำรวจ รพ.จุฬาลงกรณ์ ฯลฯ แล้ว เป็นจำนวนกว่า 21,000 ชุด

ด้านผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณโครงการ Chef Cares ที่มองเห็นคุณค่าในงานของคนทำงานในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะพนักงานตัวเล็กๆ ทุกระดับที่ทำงานในสถานีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พนักงานทำความสะอาด พนักงานรักษาความปลอดภัย หรืออื่นๆ อาหารแสนอร่อยที่มอบให้นอกจากจะช่วยเติมเต็มความอิ่มแล้ว ยังเป็นกำลังใจให้คนทำงานทุกคนด้วย

ก.ล.ต. ออกแนวทางลักษณะคำแนะนำที่ไม่เข้าข่ายประกอบธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนที่ต้องขอใบอนุญาต

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกแนวทางการพิจารณาลักษณะของการให้คำแนะนำที่ไม่ถือเป็นการประกอบธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนด้านหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อสร้างความชัดเจนถึงแนวทางการกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2563

ปัจจุบันการให้คำแนะนำการลงทุนในหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแก่ประชาชนในลักษณะที่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือประสบการณ์ในการลงทุนผ่านเว็บไซต์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้มีการให้บริการที่แพร่หลายและหลากหลายรูปแบบมากขึ้น จึงอาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในการพิจารณาว่าการดำเนินการในลักษณะใดที่เข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ก.ล.ต. จึงออกแนวทางการพิจารณาลักษณะการดำเนินการที่ไม่เข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนที่ต้องขอรับใบอนุญาตให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. ครั้งที่ 3/2563 วันที่ 5 มีนาคม 2563 โดยมีแนวทางในการแยกการพิจารณาระหว่างบุคคลที่ให้คำแนะนำ และเจ้าของเว็บไซต์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ออกจากกัน ดังนี้  

  1. บุคคลที่ให้คำแนะนำที่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนผ่านเว็บไซต์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาอ่านได้ เช่น ในรูปแบบบทความส่วนตัวหรือในลักษณะของกระดานสนทนาที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการแสดงความคิดเห็น
  2. เจ้าของเว็บไซต์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนโดยไม่มีส่วนร่วมในการรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลเพื่อเผยแพร่คำแนะนำลงบนเว็บไซต์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้น รวมทั้งไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับการให้คำแนะนำการลงทุน 

การบินไทย ทำหนังสือแจงลูกค้าเรื่องกระบวนการฟื้นฟู มั่นใจผ่านวิกฤติและกลับมาเปิดบินได้

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า บริษัทได้ทำหนังถึงลูกค้า ชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องสำหรับหนังสือ เอกสารหรือข้อความจากศาลล้มละลายกลางเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ผ่านทางระบบอีเมล หรือ SMS อันเป็นผลมาจากการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในฐานะลูกค้าที่มีความสำคัญต่อบริษัท และควรที่จะรับทราบการดำเนินการต่าง ๆ ของบริษัท บริษัท มีนโยบายและความมุ่งมั่นที่จะตั้งใจในการดูแลลูกค้าทุกท่านอย่างดีที่สุดในฐานะลูกค้าที่สำคัญภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทั้งในส่วนของการคืนค่าบัตรโดยสาร การดูแลสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส และบัตรโดยสารที่ท่านถืออยู่ จึงขอให้ลูกค้าไว้วางใจและเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถก้าวผ่านวิกฤตและอุปสรรคในครั้งนี้ และกลับมาบริการทุกท่านตามปกติ

บริษัท ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้าใจสถานการณ์ของบริษัทฯ และให้การสนับสนุนกิจการของบริษัทฯ มาโดยตลอด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถกลับมาให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่านได้ภายหลังมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่เกี่ยวกับการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทยได้รับการผ่อนปรน

ทั้งนี้ สามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการตามกฎหมายตลอดจนสิทธิ หน้าที่และผลกระทบต่อท่านลูกค้า ได้ที่ https://bit.ly/2UEuSJp

โดยหนังสือชี้แจงดังกล่าว มีเนื้อหาว่า

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้การพิจารณาของศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยศาลล้มละลายกลางได้มีการรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ได้กำหนดวันนัดไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ในวันที่ 17 สิงหาคม 2563
   บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการดูแลลูกค้าทุกท่านอย่างดีที่สุดในฐานะลูกค้าที่สำคัญภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทั้งในส่วนของการคืนค่าบัตรโดยสาร การดูแลสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส และบัตรโดยสารที่ท่านถืออยู่

กระบวนการทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

   ขณะนี้ ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดวันนัดไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ในวันที่ 17 สิงหาคม 2563 โดยบริษัทฯ ขอเรียนว่า หากไม่มีการคัดค้านคำร้องขอฟื้นฟูกิจการหรือผู้ทำแผน ในขั้นตอนต่อไป ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งให้บริษัทฯ ฟื้นฟูกิจการพร้อมทั้งตั้งผู้ทำแผนขึ้น จากนั้นจะมีการประกาศหรือโฆษณาคำสั่งตั้งผู้ทำแผนในราชกิจจานุเบกษา และภายหลังจากนั้น เจ้าหนี้ของบริษัทฯ ที่มีสิทธิเรียกร้องเป็นหนี้เงินต่อบริษัทฯ จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี โดยเจ้าหนี้จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่มีการประกาศคำสั่งตั้งผู้ทำแผนของศาลล้มละลายกลางลงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งบริษัทฯ คาดการณ์ว่า กระบวนการยื่นขอรับชำระหนี้น่าจะเกิดขึ้นประมาณช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2563 หรือภายหลังจากนั้น

นโยบายการดูแลลูกค้าที่ขอคืนค่าบัตรโดยสารภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

   บริษัทฯ ต้องขออภัยต่อลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้อีกครั้ง จากการที่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถคืนค่าบัตรโดยสารให้แก่ทุกท่านเป็นการชั่วคราว แต่ท่านลูกค้ายังคงสามารถใช้บัตรโดยสารที่ถืออยู่ได้ตามปกติ โดยสามารถทำการเลื่อนการเดินทางออกไปเมื่อบริษัทฯ ได้กลับมาเปิดทำการบินอีกครั้งภายหลังมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่เกี่ยวกับการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทยได้รับการผ่อนปรน บริษัทฯ ขอยืนยันต่อลูกค้าทุกท่านว่า ทางบริษัทฯ มีนโยบายที่จะดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ขอคืนค่าบัตรโดยสารทุกท่านอย่างดีที่สุด โดยบริษัทฯ ได้หารือกับคณะผู้ทำแผนที่บริษัทฯ เสนอเพื่อกำหนดแนวทางที่สามารถทำได้ตามกฎหมายเพื่อลดภาระหน้าที่ของลูกค้าที่ขอคืนค่าบัตรโดยสารซึ่งมีจำนวนประมาณสามแสนราย ซึ่งแนวทางเบื้องต้นที่สามารถลดภาระของลูกค้าที่ขอคืนค่าบัตรโดยสารทุกท่านได้อย่างดีที่สุด คือ การที่คณะผู้ทำแผนอาจกำหนดเงื่อนไขหรือรายละเอียดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการให้ครอบคลุมและรองรับสิทธิของลูกค้าที่ขอคืนค่าบัตรโดยสารทุกท่านโดยที่ลูกค้าแต่ละท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้การดำเนินการข้างต้นเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะผู้ทำแผนของบริษัทฯ ที่จะกำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการได้

   ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามนโยบายนี้เพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาสิทธิในการได้รับเงินค่าบัตรโดยสารคืนโดยที่ลูกค้าทุกท่านไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการใด ๆ ภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยบริษัทฯ จะเรียนแจ้งยืนยันแนวทางข้างต้นอย่างเป็นทางการให้ลูกค้าทุกท่านได้ทราบเมื่อศาลได้มีคำสั่งตั้งคณะผู้ทำแผนที่บริษัทฯ เสนอให้เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการต่อไป

นโยบายการดูแลสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส (Royal Orchid Plus)

   สำหรับสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส นั้น แม้ท่านจะไม่ใช่เจ้าหนี้ของบริษัทฯ ที่อาจยื่นขอรับชำระหนี้ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการได้ เพราะไมล์สะสมของท่านเป็นการสะสมคะแนนเพื่อวัตถุประสงค์ในการแลกรางวัลต่างๆ เช่น บัตรโดยสารตามข้อกำหนดของบริษัทฯ แต่บริษัทฯ ก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญยิ่งของท่านสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส และมุ่งมั่นที่จะมอบสิทธิประโยชน์ให้กับท่านสมาชิกอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยืนยันว่าไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส ของท่านมีค่าเสมอ โดยสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส จะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์จากสถานภาพสมาชิกและสถานภาพความเป็นสมาชิกของโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส ของท่านจะยังคงอยู่และท่านจะยังคงจะได้รับสิทธิประโยชน์ ภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการนี้ โดยสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส สามารถใช้สิทธิในการใช้ไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส ได้ตามปกติเมื่อบริษัทฯ สามารถกลับมาให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ ท่านสมาชิกที่มีจำนวนไมล์ที่จะหมดอายุหรือสมาชิกที่สถานภาพบัตรปัจจุบันของท่านกำลังจะหมดอายุลง ทางบริษัทฯ กำลังดำเนินการขยายอายุไมล์สะสมหมดอายุและสถานภาพบัตรของท่านอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก โดยจะแจ้งให้ท่านทราบถึงรายละเอียดต่อไปผ่านทางเว็บไซต์ thaiairways.com/rop บริษัทฯ ขอเรียนย้ำว่าสิทธิของท่านในฐานะสมาชิกโปรแกรมสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัสจะยังคงมีอยู่ตามเดิมโดยที่ท่านไม่ต้องยื่นขอรับชำระหนี้หรือดำเนินการทางกฎหมายใด ๆ ภายใต้กระบวนฟื้นฟูกิจการแต่อย่างใดเลย

นโยบายการดูแลลูกค้าที่ถือบัตรโดยสารการบินไทย

   สำหรับลูกค้าทุกท่านที่ถือบัตรโดยสารของบริษัทฯ ซึ่งยังไม่ได้ใช้บริการด้านการบิน อันมีสาเหตุมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ที่ทำให้บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องยกเลิกเที่ยวบินทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้น ท่านจะไม่ใช่เจ้าหนี้ของบริษัทฯ ที่อาจยื่นขอรับชำระหนี้ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการได้ เนื่องจากการถือบัตรโดยสารของท่านในขณะนี้ ถือเป็นสิทธิที่ท่านจะยังคงสามารถใช้บัตรโดยสารของบริษัทฯ ได้ เมื่อบริษัทฯ สามารถกลับมาดำเนินการให้บริการด้านการบินได้ตามปกติ ตามนโยบายและแผนการบินของบริษัทฯ ซึ่งจะถูกกำหนดขึ้นให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ต่อไป ดังนั้น บริษัทฯ จึงขอให้ท่านมั่นใจและเชื่อมั่นว่า ท่านจะยังคงมีสิทธิในการใช้บัตรโดยสารของบริษัทฯ ทุกประการภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ โดยที่ท่านไม่ต้องยื่นขอรับชำระหนี้หรือดำเนินการทางกฎหมายใด ๆ ภายใต้กระบวนฟื้นฟูกิจการแต่อย่างใดเลย

ซีพีเอฟ เสิร์ฟอาหารอุ่นพร้อมทานจาก Food Truck ถึงมือชาวหนองแขม

นายภาณุวัตร เนียมเปรม  และนายธีรยุทธ พัชรมณีปกรณ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นำชาวซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมทาน จากรถ CPF Food Truck ในโครงการ “ส่งอาหารปลอดภัย จากใจ..สู่ชุมชน” ให้กับชาวชุมชนสวัสดิการหนองแขม ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง เป็นครั้งที่ 20 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารแก่ประชาชนใน 6 เขต พื้นที่กรุงเทพมหานคร

ซีพีเอฟ ส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงอาหารปลอดภัยได้มาตรฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านโครงการฯ ดังกล่าว โดย ซีพีเอฟ จะจัดทีมจิตอาสา ส่งรถ CPF Food Truck ลงพื้นที่ทุกวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ ส่งมอบอาหารอุ่นร้อนให้กับชุมชนในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” ที่ให้ความสำคัญกับอาหารปลอดภัยสูงสุด และตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต สอดคล้องกับทิศทางความรับผิดชอบอย่างยั่งยืนของบริษัทภายใต้ 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดิน น้ำ ป่า คงอยู่ สนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร และการผลิตอาหารคุณภาพดีอย่างยั่งยืน

สำหรับอาหารสำเร็จรูปที่นำมาแจกมีให้เลือกถึง 6 เมนู ได้แก่ ข้าวอกไก่ซอสจิ้มแจ่ว ข้าวผัดไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวไก่สไปซี่ ข้าวอกไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวตับกระเทียม และข้าวไข่เจียว พร้อมด้วยไข่ต้ม

หุ้นไทยสัปดาห์หน้า คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1350-1420 จุด

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (15-19 มิ.ย.) มีแนวรับที่ 1,370 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,420 จุด ตามลำดับ โดยหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงลงหลุดกรอบ 1,400 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายตามตลาดต่างประเทศ หลังปรับตัวรับแรงหนุนจากการทยอยเปิดเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ มุมมองที่สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐของเฟด และความเสี่ยงต่อการระบาดระลอกสองของโควิด-19 ในสหรัฐกระตุ้นแรงขายในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายสัปดาห์ โดยแรงขายหุ้นหลักๆ ในประเทศมาจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าการพิจารณามาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพฤษภาคม ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมของญี่ปุ่น และยูโรโซน รวมถึงยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนพฤษภาคมของจีน