Home Blog Page 15

AIS – สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สร้างทักษะดิจิทัลด้วยหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ พร้อมชวนจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จับมือ AIS ขยายผลโครงการ “อุ่นใจไซเบอร์” และโครงการ “คนไทยไร้ e-waste”   สร้างทักษะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และเสริมภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้บุคลากรในสังกัดเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและเครือข่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศกว่า 100,000 คน ด้วยหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์  เพื่อยกระดับการทำงานในยุค Digital Transformation ปรับตัวองค์กรสู่การเป็น Smart Parliament   พร้อมให้ความสำคัญต่อกระบวนการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ด้วยการใช้แอป E-Waste+ ผ่าน Agent ของสำนักงานฯ ในการรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อนำขยะเข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิล Zero e-waste to Landfill ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รักษาราชการแทนเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คือ มุ่งพัฒนาองค์กรไปสู่ Smart Parliament โดยสร้างระบบนิเวศการทำงานให้เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงบนโลกดิจิทัล ซึ่งความร่วมมือกับเอไอเอส รวมถึงกรมสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะมาช่วยส่งเสริมนโยบายในการขับเคลื่อนการทำงานบนโลกดิจิทัลของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ขยายผลการเรียนรู้ให้แก่บุคลากรสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงประชาชนและยุวชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ รวมกว่า 100,000 คน  ผ่านช่องทาง Online Learning Platform ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อสร้างทักษะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่บุคลากร ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับองค์กรด้วย

รวมทั้งได้ร่วมมือกับเอไอเอส ในโครงการคนไทยไร้ e-waste สร้างการตระหนักรู้การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยเชิญชวนให้บุคลากรในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและประชาชนทั่วไป นำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งที่จุดทิ้งขยะผ่านแอป E-Waste+ ที่มีการขยายจุดรับทิ้งขยะ รวม 23 สำนัก 4 กลุ่มงาน  โดยแต่ละสำนักจะมี Agent เป็นผู้บันทึกผลการเก็บขยะรวมถึงให้คำแนะนำในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เป็นประเด็นหลักในสังคมถึง 2 เรื่อง ทั้งการเสริมทักษะดิจิทัล สร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้แก่บุคลากร รวมถึงการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ผ่านมา AIS ได้เดินหน้าได้ส่งต่อหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ไปยังบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาภาคเอกชน กรุงเทพมหานคร หรือแม้แต่การส่งต่อไปยังภาคประชาชนผ่านหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สกมช.  ทำให้ทุกวันนี้มีผู้เข้าถึงหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์แล้วกว่า 300,000 คนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าภารกิจคนไทยไร้ e-waste เดินหน้าสู่เป้าหมายการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หรือ HUB of e-waste ที่มีองค์กรภาครัฐและเอกชนกว่า 190 องค์กร มาร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งการสร้างองค์ความรู้ ด้านเครือข่าย ที่มาช่วยแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ ด้านจุดรับทิ้ง ด้านการขนส่ง และด้านการรีไซเคิลแบบ Zero e-waste to landfill ตามมาตรฐานสากล โดยได้นำเทคโนโลยี Blockchain กับแอปพลิเคชัน E-Waste+ มาใช้ในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสามารถตรวจสอบสถานะการทิ้งขยะ E-Waste ได้ทั้งกระบวนการ รวมถึงยังคำนวณขยะที่ได้ออกมาเป็น Carbon Scores ที่ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการร่วมทิ้ง E-Waste

โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสร้างการตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่บุคลากรในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงเครือข่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศ เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

เมืองไทยประกันชีวิต ครองตำแหน่งสุดยอดแบรนด์บ.ประกันชีวิต คว้ารางวัล“ซูเปอร์แบรนด์ไทยแลนด์”

เมืองไทยประกันชีวิต รับรางวัล “สุดยอดแบรนด์บริษัทประกันชีวิต” หรือ ซูเปอร์แบรนด์ประเทศไทย 2566  จากเวที Superbrands Thailand  2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18  ยาวนานที่สุดของแบรนด์ในประเทศ การโหวตสูงสุดจากผู้บริโภคทั่วประเทศร่วม 15,000 คน  พร้อมประกาศการพัฒนาองค์กรแห่งคุณภาพเพื่อความมั่งคงแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัล “สุดยอดแบรนด์บริษัทประกันชีวิต” หรือ ซูเปอร์แบรนด์ประเทศไทย 2566  จากเวที Superbrands Thailand  2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18  ตอกย้ำความสำเร็จด้านผู้นำแบรนด์ในธุรกิจประกันภัยที่มีคุณสมบัติโดดเด่น และได้รับการยอมรับเป็นอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์  ซึ่งเมืองไทยประกันชีวิตถือเป็นบริษัทฯ  ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวมายาวนานที่สุดในประเทศไทย โดยมี นายไมค์ อิงลิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรซูเปอร์แบรนด์ และนางสาวแชมเปญ เทียนแขวะ ผู้อำนวยการ  ซูเปอร์แบรนด์ ประเทศไทย เป็นผู้มอบณ Gaysorn Urban Resort  

“ปี 2566 ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้ดำเนินธุรกิจเคียงคู่คนไทยครบรอบ 72 ปี ในการส่งมอบความคุ้มครองที่มั่นคงให้กับประชาชนไทย  อีกทั้งยังเป็นปีที่บริษัทฯ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพและการให้บริการ รวมถึงยังเป็นผู้นำในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางดิจิทัลที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ (Sustainable Growth) โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตทางธุรกิจและตอบโจทย์ลูกค้า การพัฒนาขีดความสามารถของช่องทางการขายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า  การพัฒนากระบวนการทำงานในทุกด้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสอดรับโลกยุคใหม่ การขยายธุรกิจและบริการผ่านพันธมิตรทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์  การเป็นองค์กรที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการพัฒนาประสิทธิภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้า  การขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพในต่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศอาเชียน และขยายสู่ธุรกิจที่มีโอกาส เติบโตสูงและส่งเสริมธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการมีธรรมาภิบาลที่ดี

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความยั่งยืนผ่านสุขภาพที่ดีในทุกมิติ ทั้งทางกาย ทางใจ และทางการเงินให้กับลูกค้า บริษัทฯ ดำเนินงานโดยยึดหลักการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) และนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และเงื่อนไขที่แตกต่างกันของชีวิตทุก ๆ คนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความคุ้มครองสุขภาพ ความคุ้มครองโรคร้ายแรง ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ตลอดจนแอปพลิเคชันด้านสุขภาพอย่าง MTL Fit ที่เข้าถึงลูกค้าในแบบที่มีความเฉพาะตัวได้มากยิ่งขึ้น (Personalization) อีกทั้งเน้นการสร้างความแตกต่าง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเข้าถึง เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรม และครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในทุกกลุ่ม

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทุกหน่วยงานของบริษัทฯ มีการนำไปปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนกำหนดโครงสร้างการบริหารงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และถ่ายทอดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) สู่การปฏิบัติของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ทั้งองค์กร เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องและช่วยให้แผนการดำเนินงานมีความเชื่อมโยงสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และบริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยบริษัทฯได้มีการกำหนดกรอบและนโยบายการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ (Economic) มิติสังคม (Social) และมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)

สำหรับรางวัล “Superbrands Thailand” ที่ได้รับ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและวางใจในตัวองค์กรของผู้บริโภค  รวมไปถึงความเป็นเลิศด้านการสร้างแบรนด์ขององค์กรในประเทศไทยจนได้รับการโหวตจากผู้บริโภค  นับเป็นรางวัลคุณภาพมาตรฐานสากลที่มอบให้กับองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งด้านคุณภาพขององค์กร  ความสำเร็จขององค์กร  สินค้าและบริการ  คุณค่าและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ผ่านการคัดกรองอย่างเข้มข้นจากการสำรวจและวิจัยผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญ และคณะกรรมการอิสระ พร้อมการโหวตจากผู้บริโภคทั่วประเทศร่วม 15,000 คน

“เราพร้อมมุ่งมั่นเป็นคู่คิดที่ลูกค้าวางใจ ผ่านนวัตกรรมเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้วยการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในตลาดและความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย  และส่งมอบสินค้าและบริการที่เหมาะสม ในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และเติมเต็มชีวิตของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต” 

“ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ของซีพีเอฟ รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2023 สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2023 สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด จากโครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ในพิธีประกาศผลและมอบรางวัลพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ รับรางวัล สะท้อนความมุ่งมั่นยกระดับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารสู่มาตรฐานขั้นสูงระดับอวกาศ และตอกย้ำการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการสู่ผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วมให้แก่สังคม ชุมชน และประเทศ บนพื้นฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน” เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และดีต่อใจ เป็นที่มาของโครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ที่มุ่งมั่นยกระดับเนื้อไก่ไทยสู่มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) โดยดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับสองพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศจากสหรัฐอเมริกา NANORACKS LLC และ mu Space ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และเป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศสามารถรับประทานได้

“ซีพีเอฟ มีความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลพระราชทานในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นและความสำเร็จที่แสดงถึงคุณภาพของสินค้าและบริการ เพื่อนำเสนอสินค้าที่ดีภายใต้แบรนด์ CP สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของเรา เกินกว่าความคาดหมายของลูกค้าในเรื่องของคุณภาพของสินค้าและบริการ และเป็นอีกภารกิจที่พิสูจน์ว่าเนื้อไก่ของ CP เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ช่วยยืนยันว่าคนไทยทุกคนได้กินไก่ปลอดภัยในระดับเดียวกับนักบินอวกาศรับประทาน” นายประสิทธิ์ กล่าว

บริษัทฯมุ่งมั่นผลิตอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทุกคำที่บริโภคต้องมีคุณค่าทางโภชนาการในราคาเหมาะสม โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Planet) ควบคู่กับการศึกษาความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำมาต่อ ยอดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงออกแบบการสื่อสารและสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และ เทรนด์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพของอาหารและเปิดประสบการณ์รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพของคนไทย

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งตั้งแต่กระบวนการการเลี้ยงสัตว์ให้มีสุขภาพแข็งแรง ด้วยการคัดเลือกสายพันธุ์ การเลี้ยงในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ที่มีระบบการจัดการฟาร์มที่ดี สะอาด มีระบบป้องกันโรค การพัฒนาอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยของสัตว์ คิดค้นสูตรอาหารสัตว์จากนวัตกรรมโปรไบโอติก ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ทำให้ลำไส้สัตว์แข็งแรง โดยร่วมมือกับสถาบันวิจัยระดับโลก คัดเลือกโปรไบโอติกจาก 125,000 สายพันธุ์ จนได้โปรไบโอติกแข็งแรงที่สุดเพียง 10 สายพันธุ์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน ทำให้ไก่แข็งแรงตามธรรมชาติ ไม่ป่วย จึงไม่ต้องใช้ยา ทำให้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปลอดภัยและปลอดสารตกค้าง 100 %

ภายใต้ความมุ่งมั่นเป็นครัวของโลกที่ยั่งยืน ซีพีเอฟ ยึดมั่นใน “ปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน” ตามดำริของประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ มาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) สะท้อนความตั้งใจจริงของบริษัทที่มีมาอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างคุณค่าที่ดีให้กับสังคม ชุมชน และโลก

ตลท. ประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Commitment) ขององค์กรภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) โดยการกำหนดเป้าหมายได้อิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ (climate science) ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน The Science Based Target initiative (SBTi) Net-Zero Standard และนำไปสู่แผนดำเนินงานระยะยาว เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาวิกฤตโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การดำเนินการนี้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและภายนอกองค์กร และสนับสนุนความพยายามในการควบคุมให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วิกฤตโลกร้อนเป็นภาวะเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะผู้มีบทบาทส่งเสริมตลาดทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตลอดทั้งกระบวนการทำงานขององค์กร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้

“การตั้งเป้าหมาย Net Zero สะท้อนถึงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่น ในการร่วมแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อน ซึ่งนำไปสู่การวางแผนการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ตามมาตรฐานของ SBTi ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล โดยการตั้งเป้าหมายนี้จะครอบคลุมทั้งขอบเขตที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากกิจกรรมขององค์กร ขอบเขตที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน และขอบเขตที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้กำหนดแผนดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทั้งการบริหารจัดการภายในองค์กร และสร้างความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ” นายภากรกล่าว

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร ทั้งจากการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ จนได้รับการรับรองอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล LEED Platinum: Operation and Maintenance (O+M) ระดับสูงสุด จาก U.S. Green Building Council (USGBC) นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมแนวปฏิบัติการจัดหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดหาสินค้าและบริการ และการลดการใช้กระดาษด้วยบริการนำส่งเอกสารสิทธิหรือรายงานต่างๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นในการให้บริการงานนายทะเบียนหลักทรัพย์ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) แทนการจัดส่งทางไปรษณีย์ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social, Governance: ESG) ให้แก่บริษัทจดทะเบียนและกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในตลาดทุน ควบคู่การส่งเสริมให้นำหลักการดังกล่าวมาบูรณาการในกระบวนการดำเนินงานให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และสามารถ

ปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยส่งเสริมความรู้มาอย่างต่อเนื่องในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น การวิเคราะห์และบริหารความเสี่ยง การคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก และการบริหารจัดการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก

เมืองไทยประกันชีวิต น้อมถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2566

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  นำโดย นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ  และนางยุพา ล่ำซำ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส  นายกฤษฎา ล่ำซำ รองประธานกรรมการและกรรมการคณะอำนวยการบริหาร นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายภูมิชาย ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นางนวลพรรณ ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ  พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ นางวรรณพร พรประภา  นายปราโมทย์ พรประภา นางสลิล ล่ำซำ พร้อมด้วยนายอังกูร ศีลาเทวากูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีคณะผู้บริหารและพนักงาน  บริษัท  เมืองไทยประกันชีวิต  จำกัด  (มหาชน) บริษัทคู่ค้า และผู้มีจิตศรัทธา  ร่วมน้อมถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2566 แด่พระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดบัวงาม พระอารามหลวง   ตำบลบัวงาม  อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี

ในโอกาสนี้  เมืองไทยประกันชีวิต  ได้มอบเงินบริจาค “ผ้าป่าเพื่อการศึกษา” ให้แก่ โรงเรียนวัดบัวงาม (โสภณปทุมรักษ์ประชาสรรค์)  โดยมี นางทัศนีย์  อยู่โต  ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบัวงาม (โสภณปทุมรักษ์ประชาสรรค์) เป็นผู้รับมอบ  ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมในทุกด้าน ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

แพทย์เผยปีนี้ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่อาจทะลุล้านราย ย้ำผู้สูงอายุเป็นกลุ่ม ‘เสี่ยงตาย’ แนะควรฉีดวัคซีนป้องกัน

ปีพ.ศ. 2566 มีรายงานคนไทยป่วยโรคไข้หวัดใหญ่กว่า 3 แสนราย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเชื่อยอดป่วยจริงอาจทะลุหลักล้านราย เพราะติดเชื้อได้ตลอดปี ป่วยแล้วป่วยซ้ำได้ในปีเดียวกันหากไม่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เผยผู้สูงอายุเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะเป็นกลุ่มเปราะบางและมีโรคประจำตัวร่วมด้วย แนะรัฐเพิ่มจำนวนวัคซีนฟรีให้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และขยายกลุ่มเด็กโตให้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นเพราะมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้วแพร่เชื้อสูง ย้ำวัคซีนคุ้มค่า คุ้มทุน และเป็นที่ยอมรับมากว่า 80 ปีแล้ว

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า “ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีการระบาดเป็นประจำทุกปี แต่จากช่วง 2-3 ปีที่มีการระบาดของโควิด-19 ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่หลบไปและห่างเหินชั่วคราว นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้และมีมาตรการป้องกันโควิด-19 จนในปีพ.ศ. 2566 จึงเห็นชัดเจนว่าประชาชนมีการป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จำนวนมาก จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งแต่มกราคม-ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วยกว่า 3 แสนราย ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิต 21 ราย แต่ในความเป็นจริงจำนวนผู้ป่วยอาจจะมากกว่านี้ เนื่องจากผู้ที่มีอาการน้อยไม่ได้เข้ารับการรักษาหรือรักษาที่คลินิกก็ไม่ได้รับการรายงาน จึงเชื่อว่าในปีนี้น่าจะมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่อาจถึงหลักล้านคนได้

จากข้อมูลโรคไข้หวัดใหญ่ย้อนหลังของประเทศไทย จะมีความแตกต่างจากประเทศในซีกโลกเหนือ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี ที่จะมีโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดเฉพาะช่วงฤดูหนาว เมื่อฤดูร้อนโรคจะหายไปหมด แต่สำหรับประเทศไทยอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร จึงพบโรคไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นในช่วงฤดูฝน เพราะมีความชื้นสูง ฝนตกคนรวมกลุ่ม นักเรียนเปิดเทอม ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่มีการระบาดและเด็กนักเรียนจะนำเอาเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ครอบครัวและผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งกลุ่มเด็กเป็น ‘กลุ่มเสี่ยงเป็น’ และมักจะรุนแรงในกลุ่มเด็กเล็ก ขณะที่ผู้สูงอายุเมื่อป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่อาจจะมีอาการรุนแรงมาก เรียกว่าเป็น ‘กลุ่มเสี่ยงตาย’ ส่วนคนหนุ่มสาวก็ป่วยได้แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรุนแรง จะเห็นได้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่เป็นได้ทุกกลุ่มอายุ และโรคนี้จะคงอยู่กับเราตลอดไป วัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงมีประโยชน์สำหรับคนทุกวัย”

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวด้วยว่า การศึกษาในประเทศไทยกรณีการเข้ารับการรักษาด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ พบว่า มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม การศึกษาพบว่าภาระโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยมีการจ่ายค่ารักษาทั้งสิ้น ปีละประมาณ 1,100 ล้านบาท และมีการสูญเสียค่าใช้จ่ายทางอ้อมอีก 1,300 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นสูญเสียทางเศรษฐกิจ เป็นเงินจำนวน 2,400 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ทางการแพทย์มีการศึกษาวิจัยถึงวิธีการป้องกันควบคุมโรคที่มีความคุ้มค่า คุ้มทุนมากที่สุด คือ ‘วัคซีน’ และภาครัฐบาลได้นำวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาให้บริการฟรีกับกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยแล้วจะมีความรุนแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคอ้วน หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ


สำหรับประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ควรจะมีนโยบายจัดการหรือแนวทางในการป้องกันช่วยลดการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ และเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น สะดวกขึ้น อาทิ ช่องทาง Drive-Thru เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาหรือแถบยุโรปที่มีทีมพยาบาลหรือสหสาขาวิชาชีพก็สามารถให้บริการได้สะดวกมาก โดย รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี มองว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีการยอมรับในภาคประชาสังคมของคนไทยมากที่สุด เป็นวัคซีนที่มีการพัฒนาและใช้กันมายาวนานกว่า 50 ปี มีความปลอดภัยสูง นับได้ว่า ‘วัคซีนไข้หวัดใหญ่’ มีความคุ้มค่าและคุ้มทุนอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตาย ช่วยลดความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย โรคแทรกซ้อนรุนแรง การนอนโรงพยาบาล และการสูญเสียชีวิตได้ ซึ่งหากภาครัฐมีการพิจารณาเพิ่มจำนวนวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงป่วยรุนแรงที่มีโอกาสเสียชีวิตได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น รวมถึงพิจารณาขยายกลุ่มฉีดฟรีในกลุ่มเด็กโต ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะนำพาเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ครอบครัวและผู้สูงอายุในบ้าน ก็จะช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมหาศาล

ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล

ขณะที่ ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่าผู้สูงอายุมักเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ซึ่งประการแรกสำคัญที่สุด ก็คือ 1) ภาวะภูมิคุ้มกันถดถอยหรือภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้เหมือนช่วงหนุ่มสาว ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย รวมถึงถ้าติดเชื้อแล้วจะมีความรุนแรงได้ 2) ผู้สูงอายุมักจะมีโรคร่วม เช่น ผู้สูงอายุบางรายอาจมีโรคปอดถุงลมโป่งพอง พอป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ก็จะทำให้หอบเหนื่อยหรือมีเชื้อลงปอดและมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ หรือบางรายอาจเป็นโรคหัวใจอยู่เดิม พอป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่อาจส่งผลให้โรคหัวใจแย่ลงตามไปด้วย หรือหากป่วยเป็นโรคเบาหวาน ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ดี เพราะเซลล์ที่จะไปจับกินเชื้อโรคก็จะทำงานได้ไม่ดี ซึ่งล้วนก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนเนื่องจากมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย และ 3) ผู้สูงอายุยังมีภาวะทุพโภชนาการ คือ กินได้น้อยลง กินได้ไม่ครบ 5 หมู่ ก็จะส่งผลให้เกิดโรคได้ง่าย รวมถึงเป็นโรคที่รุนแรงได้ง่าย

ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ ‘ผู้สูงอายุ’ ควรต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดการเกิดปอดอักเสบจากการที่เชื้อไวรัสลงปอด ลดการเจ็บป่วยที่จะต้องนอนโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิต เนื่องจากการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในชีวิตประจำวัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อย ๆ และการอยู่ห่างจากผู้ติดเชื้อ จะไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา หรือปฏิบัติแล้วก็ยังมีโอกาสป่วยได้เช่นกัน

ทั้งนี้ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้มีคำแนะนำว่า จริง ๆ แล้ว ทุกคนควรจะได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2 ประเภท ได้แก่

1.       วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดมาตรฐาน (standard dose) มีปริมาณแอนติเจน 15 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ต่อโดส สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ

2.       วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดสูง (high dose) มีปริมาณแอนติเจน 60 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ต่อโดส เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้มากกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดมาตรฐาน ประมาณร้อยละ 24 และยังลดการนอนโรงพยาบาลจากโรคไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบได้สูงกว่าขนาดมาตรฐาน รวมถึงลดการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้สูงกว่าขนาดมาตรฐาน โดยอาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีดมากกว่าขนาดมาตรฐานเล็กน้อย

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวทิ้งท้ายว่า “สิ่งสำคัญที่อยากแนะนำในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ ประชาชนไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 1 ปี โดยทุกปีวัคซีนของฤดูกาลใหม่จะเข้ามาในช่วงเมษายน – พฤษภาคม สามารถมาฉีดได้ทันที เพียงให้เว้นระยะห่างจากวัคซีนครั้งก่อนอย่างน้อย 6 เดือน โดยกลุ่มเสี่ยงที่รัฐกำหนดสามารถฉีดฟรีได้ที่หน่วยบริการพยาบาลภาครัฐ หรือสอบถามสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 สำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงสามารถฉีดได้ที่หน่วยบริการภาครัฐและเอกชน โดยที่จะต้องดูแลค่าใช้จ่ายเอง”

CPF คว้ารางวัล ‘Superbrands Thailand 2023’ ปีที่ 2 สุดยอดผู้ผลิตอาหารมาตรฐานอวกาศ หนุนการบริโภคอย่างยั่งยืน 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ รับรางวัล “สุดยอดแบรนด์ผู้นำผลิตภัณฑ์อาหาร” หรือ Superbrand Awards จากเวที Superbrands Thailand 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคทั่วประเทศมากกว่า 15,000 คน ผ่านเกณฑ์ในการคัดเลือก ได้แก่ Brand Quality (คุณภาพของแบรนด์) Brand Affinity (ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค) และ Brand Personality (เอกลักษณ์ของแบรนด์) ตอกย้ำผู้นำด้านอาหารมาตรฐานระดับอวกาศ และกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ควบคู่กับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน  

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า แบรนด์ซีพี ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงกลยุทธ์การตลาดอย่างสม่ำเสมอ โดยให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งด้านสุขภาพและเทรนด์ความอร่อย นำมาซึ่งการสร้างสรรค์กิจกรรมที่หลากหลาย สอดรับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกกลุ่ม อย่างแคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปีนี้ คือ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” จับมือ NANORACKS และ MU Space ซึ่งเกิดจากความตั้งใจที่จะท้าทายขีดจำกัดของคำว่า มาตรฐานสูงที่สุดแก่ผู้บริโภค จึงริเริ่มโครงการส่งไก่ไทยไปพิสูจน์ความปลอดภัยระดับอวกาศผ่านการทำวิจัยตรวจสอบความปลอดสาร ปลอดภัย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ร่วมกับ Johnson Space Food Lab เพื่อยืนยันว่า เนื้อไก่ แบรนด์ซีพี ของไทย มีความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศรับประทาน 

อนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ

“ทุกกิจกรรมการตลาดของ CP เกิดจากการศึกษาข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคมาพัฒนาสินค้า และสร้างสรรค์แคมเปญให้หลากหลายและตรงใจ เช่น “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากที่คนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศความสำเร็จในครั้งนี้ที่สยามสเเควร์ ให้ผู้บริโภคร่วมฉลองโปรเจคไปพร้อมกันผ่านฟรีคอนเสิร์ต การเเปรอักษร ส่งข้อความถึงนักบินอวกาศ ในช่วงเวลาเดียวกับที่จานดาวเทียมโคจรผ่านประเทศไทย รวมถึงงานเสวนาวิชาการที่เชิญนักบินอวกาศและนักวิทยาศาสตร์จากนาซ่าตัวจริงเสียงจริงมาให้ความรู้ เพื่อสร้างเเรงบันดาลใจแก่บุคคลทั่วไป นักเรียน และนักศึกษา ที่มีความฝันอยากไปอวกาศ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกขั้นตอน” นางสาวอนรรฆวี กล่าว  

แบรนด์ซีพี ให้ความสำคัญต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ การใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน นับเป็นอีกหนึ่งหัวใจในการดำเนินธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net-Zero ภายในปี 2050 อย่างเป็นรูปธรรม มีแผนการบริหารจัดการภายในตั้งแต่ต้นทางการผลิตจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภค อาทิ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) หรือนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิตอาหารรายแรกของโลก ที่ได้รับการรับรองเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักวิทยาศาสตร์ มาตรฐาน FLAG (Forest, Land, and Agriculture) จากองค์กร Science Base Target Initiative (SBTI) องค์กรอิสระระหว่างประเทศที่เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจรับมือกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

Major จับมือ Chang จัด Movie on the Hill ครั้งที่ 4 ตอนคาหนังคาเขา

รวมสุดยอดหนัง – ศิลปินดังขึ้นเวที ระเบิดความสนุกรับลมหนาว

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จับมือเครื่องดื่มตราช้าง พร้อมเหล่าพันธมิตรเตรียมจัดงาน Chang Major Movie on the Hill ครั้งที่ 4 ตอนคาหนังคาเขา ระเบิดความสนุกกับเทศกาลหนังและดนตรี รับลมหนาว จัดทัพศิลปินดังร่วมขึ้นเวทีอย่างคับคั่ง พร้อมเปิดประสบการณ์ดูหนังท่ามกลางขุนเขา ณ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่ 26 พ.ย.2565 นี้

นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปีที่เป็นเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองและเพื่อเป็นการต้อนรับลมหนาวที่จะมาเยือน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำเครื่องดื่มตราช้าง จัดงาน Chang Major Movie on the Hill ครั้งที่ 4 ตอนคาหนังคาเขา รวมศิลปินดังมากมายมาร่วมขึ้นเวทีมอบความสนุกให้กับผู้เข้าร่วมงาน อาทิ Lazyloxy – Samblack, Atom, Mean, Polycat, Lipta และ Zani x Puifai พร้อมเปิดประสบการณ์ดูหนังท่ามกลางขุนเขา ณ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ ต้อนรับลมหนาวในเดือนพฤศจิกายนนี้

“การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งงานใหญ่ที่เราได้พันธมิตรที่ดีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มตราช้าง ที่เป็นพันธมิตรกันมาเป็นปีที่ 4 รวมไปถึง บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน), บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด, บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน), บริษัท ยาคอบส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์กส์ ทีเอช จำกัด, บริษัท ที แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Propoliz Mouth Spray, บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด และไร่ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่ ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเนรมิตงานสร้างความสนุกสนานต้อนรับเทศกาลแห่งลมหนาวที่กำลังมาถึง อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำผู้นำธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์เอนเตอร์เทนเมนท์ครบวงจร โดยงาน Chang Major Movie on the Hill ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งนอกจากจะสร้างความบันเทิงให้ผู้ที่มาเข้าชมแล้ว ยังเป็นการโปรโมทการท่องเที่ยว สร้างความคึกคักให้ตลาดท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง โดยในเดือนพฤศจิกายนก็ถือเป็นการเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวอีกด้วย” นายสุรเชษฐ์ กล่าว

สำหรับในปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป และพันธมิตรตั้งใจจัดเพื่อสร้างความสุข และความบันเทิง โดยอยู่ภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้เข้าร่วมงานได้มีรอยยิ้ม ความสนุกสนาน โดยคาดว่าจะมีผู้เดินทางเข้าร่วมงานทั้งจากกรุงเทพฯ จังหวัดใกล้เคียง รวมถึงคนในพื้นที่ เข้ามาร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ภายในงานกว่า 7,000 คน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากการจัดกิจกรรมให้พื้นที่บริเวณเขาใหญ่ และบริเวณใกล้เคียงได้กลับมาคึกคัก ผลักดันให้เกิดยอดการใช้จ่ายภายในประเทศเติบโตไปกับภาคธุรกิจโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ชุมชน อีกมากมาย

ทั้งนี้กิจกรรม Chang Major Movie on the Hill ครั้งที่ 4 ตอนคาหนังคาเขา จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 26 พ.ย. 2565 ณ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่ โดยประตูจะเปิดตั้งแต่เวลาเวลา 15.00 น. ไปจนถึงเที่ยงคืน ชมภาพยนตร์แล้วต่อด้วยความสนุกจากศิลปินดังมากมายที่ตบเท้าเตรียมโชว์ความมันส์ มาเอาใจผู้ชมที่เข้าร่วมงานได้ฟินและชิลล์กันอย่างเต็มที่ รวมทั้งบูธกิจกรรมความบันเทิงให้ร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลพิเศษมากมาย รับกับบรรยากาศความหนาวที่มาเยือนอย่างจุใจ

เตรียมตัวให้พร้อม แล้วชวนเพื่อนไปสนุกด้วยกันในงาน Chang Major Movie on the Hill ครั้งที่ 4 ตอนคาหนังคาเขา ติดตามรายละเอียดการรับบัตรเข้างานฟรีผ่านช่องทาง Facebook Fanpage: Movie on the Beach / Movie on the Hill และ Facebook Fanpage: Chang World ซึ่งจะเริ่มประชาสัมพันธ์กิจกรรมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เมกาบางนา ชวนฉลองฮาโลวีน MEGA HALLOWEEN : A CELEBRATION OF SOULS

ศูนย์การค้าเมกาบางนา ศูนย์การค้าที่จะทำให้ทุก ๆ วัน เป็นวันพิเศษสำหรับคนพิเศษเช่นคุณ ชวนคุณร่วมสนุกกับเทศกาลฮาโลวีนในงาน MEGA HALLOWEEN : A CELEBRATION OF SOULS โดยเนรมิตแลนด์มาร์คแห่งการเฉลิมฉลอง ณ บริเวณเมน เอนทรานซ์ ชั้น 1 เป็นฉากจำลองการแสดงบนเวทีคอนเสิร์ตในคอนเซ็ปต์ “Music of the Dead” คอนเสิร์ตสุดหลอนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของตัวละครและนักดนตรีต่าง ๆ ลุกขึ้นมาสนุกกับคุณอีกครั้ง พร้อมให้ทุกท่านได้ร่วมถ่ายภาพบรรยากาศฮาโลวีนแบบน่ารัก ๆ พร้อมกิจกรรมและสิทธิพิเศษอีกมากมายตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2565 ที่เมกาบางนา

แลนด์มาร์ค MEGA HALLOWEEN : A CELEBRATION OF SOULS ออกแบบขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเทศกาล Day of the Dead หรือการเฉลิมฉลองวันแห่งผู้ล่วงลับของชาวเม็กซิกันซึ่งเป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกในครอบครัว หรือญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วและเชื่อกันว่าเป็นช่วงที่วิญญาณเหล่านั้นจะเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้ล่วงลับและครอบครัวได้ใช้เวลาระลึกถึงกัน โดยเมกาบางนาได้ถ่ายทอดโมเมนท์แห่งความสุขร่วมกันเป็นภาพบรรยากาศเวทีคอนเสิร์ตในคอนเซ็ปต์ “Music of the Dead” กับเหล่าตัวละครและนักดนตรีที่ถูกปลุกให้มาเล่นดนตรี เพื่อสร้างความเพลิดเพลินกับการเล่นดนตรีอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ ลูกค้าจะได้ร่วมกิจกรรมพิเศษฉลองเทศกาลฮาโลวีนนี้กันแบบสนุก ๆ เพิ่มเติมในวันที่ 22-24 และ 29-31 ตุลาคมนี้ ได้แก่

● เมื่อสมัครสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส และนำใบเสร็จที่มียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ หรือใช้คะแนนเมกา สไมล์ รีวอร์ดส 3 คะแนน รับสิทธิ์เล่นเกมลุ้นรางวัล

● สมาชิกเมกา สไมล์ คิดส์ รับฟรี! Trick and Treat Candy

● เมื่อสมัครสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส (ใบเสร็จไม่มีขั้นต่ำ) แลกรับฟรีกระเป๋า Stripe Tote สีสันสดใส

● พิเศษ! เฉพาะวันที่ 29 – 30 ตุลาคมนี้ สมัครสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส หรือช้อปครบ 3,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับสิทธิ์ถ่ายภาพฟรีที่ Photo Booth หรือรับ Halloween Tattoo

และพลาดไม่ได้! กับกิจกรรมและการแสดงต่าง ๆ ที่จะสร้างสีสันให้ฮาโลวีนปีนี้สนุกสนานไม่เหมือนเดิม ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคมนี้ อาทิ “Parade of the Dead” ของเหล่านักแสดงและนักดนตรีที่จะเปิดการแสดงบนแลนด์มาร์ค การแจก Trick and Treat Candy สำหรับเด็ก ๆ และ Photo Booth เก็บภาพความสุขเป็นที่ระลึก

มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีนแบบน่ารักไปพร้อมกัน ในงาน MEGA HALLOWEEN : A CELEBRATION OF SOULS ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา

เจาะสูตรความสำเร็จ “น้ำพริกคุณชาย” ปั้นแบรนด์สร้างยอดขายในเซเว่นฯ สู่ยอดผลิต 90,000 ชิ้น/เดือน

“น้ำพริกคุณชาย” แบรนด์น้ำพริกที่อยู่เบื้องหลังความอร่อยของมื้ออาหารจานโปรดมากว่า 19 ปี โดยมี รวีรัตน์ ลักษณวิสิษฐ์ เจ้าของนิตยาไก่ย่าง เป็นผู้ก่อตั้ง มาวันนี้ธุรกิจได้ถูกส่งไม้ต่อให้เจเนอเรชั่นที่ 2 อย่าง เบนซ์-ภเดช กันตจินดา บุตรชายคนโตวัย 35 ปี ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจของครอบครัวและแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ผ่านการทำงานที่เป็นบทพิสูจน์สำคัญ ด้วยการส่ง “น้ำพริกคุณชาย” เข้าสู่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ได้ในเวลาเพียง 6 เดือนกับองค์ความรู้ด้านการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายให้กับโมเดิร์นเทรดแบบนับ 1 สู่ยอดผลิต 90,000 ชิ้นต่อเดือน

ตั้งเป้าธุรกิจให้ชัด จัดลำดับการทำงาน

เบนซ์-ภเดช กันตจินดา กรรมการ บริษัท เนเจอร์ สไปซ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “น้ำพริกคุณชาย” เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ “น้ำพริกคุณชาย” จะผลิตและจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด บริษัทดำเนินธุรกิจแบบ B2B และรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารเป็นหลักมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2546 โดยสินค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มน้ำพริกแกงมากกว่าน้ำพริกคลุกข้าว แต่เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาได้รับมอบหมายให้เข้ามารับช่วงต่อดูแลธุรกิจทางบ้าน จึงตั้งเป้าการทำงานไว้ว่า แบรนด์และสินค้าน้ำพริกคลุกข้าวจะต้องเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภครายย่อยให้มากกว่านี้ เพราะการที่แบรนด์เป็นที่รู้จักจะง่ายต่อการทำตลาด ประกอบกับการทำธุรกิจแบบ B2B และOEMสุดท้ายก็จะจบลงด้วยการแข่งขันด้านราคา ส่วนตัวไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

เมื่อได้เป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ในฐานะ SME ที่อยากเติบโตอย่างยั่งยืน จึงต้องหาช่องทางการทำตลาดและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก โดยช่องทางที่มองไว้เป็นอันดับแรกคือ การจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด และตลาดโมเดิร์นเทรดแรกที่นึกถึงก็คือ เซเว่น อีเลฟเว่น เพราะมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่าย จึงเข้าไปขอรับคำปรึกษาจากทางทีมที่ปรึกษาของ เซเว่น อีเลฟเว่น โดยทางทีมให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียด

“ถือเป็นความท้าทายของเราอย่างมาก เพราะเดิมเราผลิตแบบ B2B และ OEM ไม่มีความรู้เรื่องการผลิตเพื่อทำตลาดโมเดิร์นเทรดเลย ดังนั้นเราจึงต้องจัดลำดับการทำงานให้ดี เริ่มจากศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำตลาดโมเดิร์นเทรดใหม่ทั้งหมดแบบนับ 1 ตั้งแต่เรื่องระบบหลังบ้าน การจัดทำโครงสร้างราคา ความต้องการตลาด การออกแบบแพ็กเกจจิ้ง การเก็บรักษาสินค้า พัฒนามาตรฐานกระบวนการผลิตของโรงงานให้ดีขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ เพราะเดิมเราผลิตแบบบรรจุถุงจำหน่ายแบบครึ่งกิโลเป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องเปลี่ยนมาบรรจุแบบกระปุก 40 กรัมและซองซิปล็อค โดยเราใช้เวลาศึกษาและพัฒนาร่วมกับทีมเซเว่น อีเลฟเว่น 6 เดือน จึงได้สินค้าตัวแรกคือ น้ำพริกเห็ดกรอบขี้เมาเจ จำหน่ายในช่วงเทศกาลเจ กับยอดผลิตสูงถึง 90,000 กระปุก ซึ่งลูกค้าก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี”

ใส่ใจในผลิตภัณฑ์ คัดสรรวัตถุดิบที่ดีจากกลุ่มเกษตรกร

น้ำพริกเห็ดกรอบขี้เมาเจ ถือเป็นหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จของ “น้ำพริกคุณชาย” ด้วยคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาผลิตทำให้ได้รสชาติที่ดี ตามปณิธานของคุณแม่ที่ว่า “อาหารที่ดีต้องมาจากวัตถุดิบชั้นเลิศเท่านั้น” ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดที่เรานำมาใช้ผลิตสินค้า เราคัดสรรมาจากกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ เช่น เรารับซื้อปลาดุกอุยจากฟาร์มที่ จ.สุพรรณบุรี มะกรูดจาก จ.นครสวรรค์ ข่า-ตะไคร้-พริกสดจาก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น คิดรวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 20-25 ตันต่อปี คิดเป็นรายได้ที่เกษตรกรได้รับประมาณ 10-12 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันเรามีสินค้าจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั้งสิ้น 4 รายการได้แก่ น้ำพริกปลาดุกฟูผัดฉ่าน้ำพริกปลาดุกฟูผัดพริกขิง น้ำพริกนรกตาแดง และน้ำพริกเห็ดกรอบคั่วพริก รวมถึงอีก 4 รายการน้ำพริกคลุกข้าวเจ (จำหน่ายเฉพาะช่วงเทศกาลกินเจ) คิดเป็นยอดการผลิตและจัดจำหน่ายต่อเดือนที่ 90,000 ชิ้น สร้างยอดขายให้บริษัทในปี 2564 จำนวน 20 ล้านบาท คาดว่ายอดขายจะเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ตามการแตกไลน์สินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการตอบรับที่ดีคือ เราสามารถรักษารสชาติของน้ำพริกให้มีความสม่ำเสมอ ความสะอาดถูกหลักอนามัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง และต้องไม่เอาเปรียบผู้บริโภค เช่น ในช่วงที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เราต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้ไม่กระทบกับผู้บริโภคหรือกระทบให้น้อยที่สุด โดยการหันมาดูระบบการจัดการหลังบ้านตั้งแต่กระบวนการรับซื้อ กระบวนการผลิตต้องลดการสูญเสียให้น้อยที่สุด”

สร้างความต่าง ติดอาวุธความรู้ สู่การเติบโต

นอกจากเรื่องคุณภาพวัตถุดิบแล้ว ต้องเข้าใจและศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างละเอียด เพื่อสร้างความต่างให้กับตัวสินค้า เพราะตลาดน้ำพริกคลุกข้าวเป็นตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เพราะเป็นสินค้าที่สามารถหาซื้อที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะตลาดสดหรือตลาดโมเดิร์นเทรด ความต่างของสินค้าระหว่างน้ำพริกคุณชายและคู่แข่งที่เห็นได้ชัดคือ ราคาไม่แพง ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ดีต่อสุขภาพ เพราะผลิตจากวัตถุดิบชั้นดีที่คัดสรรมาแล้ว รวมทั้งยังมีรสสัมผัส และเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนใครอย่าง น้ำพริกนรกตาแดง ซึ่งเป็นสินค้าขายดี เนื้อสัมผัสที่ไม่เหนียว ไม่กระด้าง รสชาติกลมกล่อม แซ่บแบบไม่แสบท้อง หรือน้ำพริกเห็ดกรอบคั่วพริก ก็จะหอมพริกขี้หนูคั่ว รสชาติจัดจ้านถึงใจ แต่ไม่อมน้ำมัน

“พฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันถามหาสินค้าเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น เราก็ต้องผลิตสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า หากเรายังไม่มีข้อมูลการตลาดที่มากพอ ก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่มีบริการให้กับ SME เพราะข้อมูลทางการตลาดเปรียบเสมือนอาวุธที่จะช่วยให้ต่อสู้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ ซึ่งเราเองก็ได้รับคำแนะนำที่ดีจากทีม เซเว่น อีเลฟเว่น ในทุกด้านตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ทำให้เราแข็งแรงได้อย่างทุกวันนี้”

แม้ไม้ต่อรุ่นที่ 2 อย่าง เบนซ์-ภเดช กันตจินดา จะเริ่มจากการนับหนึ่งในตลาดโมเดิร์นเทรด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ทำให้ในวันนี้ “น้ำพริกคุณชาย” เป็นที่รู้จักในตลาดโมเดิร์ดอย่างที่ตั้งใจ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จของเบนซ์ และเป้าหมายต่อไปที่เบนซ์ฝากทิ้งท้ายไว้ก็คือการนำ “น้ำพริกคุณชายสู่ตลาดโลก”