ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 พ.ค.63 ปิดที่ 1,266.02 จุด เพิ่มขึ้น 8.04 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 44,086.49 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,284.23 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 72 บาท บวก 2 บาท, PTT ปิด 35.25 บาท บวก 1 บาท, ADVANC ปิด 193.50 บาท ลบ 4 บาท, BAM ปิด 22.20 บาท บวก 0.10 บาท และ AOT ปิด 59.75 บาท บวก 0.25 บาท
หุ้นไทยรีบาวน์ขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังปรับตัวลงแรงกว่า 40 จุด!!
บล.เคทีบี ออกบทวิเคราะห์หุ้นทีวีดิจิทัลระบุว่า ปี 63 จะได้รับผลกระทบมาก จาก COVID-19 และเศรษฐกิจที่ชะลอ โดยคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Media (Digital TV) ที่ “น้อยกว่าตลาด” และปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” จากเหตุผล 3 ปัจจัยหลัก คือ
1.ผลประกอบการกลุ่มปี 63 ต่ำสุดในรอบ 8 ปี จากผลกระทบของ COVID-19 2.การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงของกลุ่มทีวีดิจิทัล ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขึ้นราคาค่าโฆษณาได้ แม้เรตติ้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
และ 3.เศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาก โดย ธปท.ประเมิน GDP growth ปีนี้ติดลบ 5.3% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินโฆษณารวมลดลง 5.8% YoY เนื่องจากผู้ประกอบการลดงบโฆษณา โดยเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
ทั้งนี้ ประเมินผลประกอบการ Q1/63 หุ้น BEC คาดขาดทุนปกติที่ -254 ล้านบาท (จาก Q1/62 ที่ขาดทุน 128 ล้านบาท, Q4/62 ขาดทุน 113 ล้านบาท) และหุ้น WORK คาดขาดทุนสุทธิที่ 10 ล้านบาท (พลิกจากกำไรสุทธิใน Q1/62 ที่ 75 ล้านบาท และฟื้นตัว QoQ จากขาดทุนสุทธิใน Q4/62 ที่ 31 ล้านบาท)
และเชื่อว่า COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อเนื่องใน Q2/63 เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการได้ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดทำให้ event ต่างๆได้ถูกเลื่อนออกไป คาดผลประกอบการจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ Q3/63 เป็นต้นไป หลัง COVID-19 คลี่คลาย
ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำหุ้น BEC ลงเป็น “ขาย” และ Rollover ราคาเป้าหมายปี 2564E ที่ 3.84 บาท อิง PBV 1.37 เท่า จากเดิมแนะ “ถือ” ส่วนหุ้น WORK ปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” และ Rollover ราคา เป้าหมายเป็นปี 64 ที่ 8.10 บาท อิง PBV 0.72 เท่า จากเดิมแนะ “ถือ”
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ