ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 23 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,356.43 จุด เพิ่มขึ้น 4.25 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 49,101.67 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 772.97 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 89 บาท ลบ 0.25 บาท, CPF ปิด 31.50 บาท ลบ 0.50 บาท, STA ปิด 27.75 บาท ลบ 1.25 บาท, BBL ปิด 106 บาท บวก 1 บาท และ MINT ปิด 20.60 บาท ลบ 0.10 บาท
หุ้นไทยพลิกขึ้นในกรอบจำกัด นักลงทุนคลายความกังวลสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ หลังสหรัฐฯยืนยันไม่เลิกข้อตกลงการค้ากับจีน
ขณะที่กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคโค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนเพื่อการออมระยะยาวแบบพิเศษ SSFX ที่เปิดให้ซื้อถึง 30 มิ.ย.นี้ เพื่อนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นอีก 2 แสนบาท ซึ่งขณะนี้เปิดเสนอขายอยู่ 20 กองทุน จาก 15 บลจ. โดย SSFX นี้ ที่กำหนดให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ต่ำกว่า 65% ส่วนที่เหลือสามารถลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆได้
สำนักงาน ก.ล.ต.ออกบทแนะนำผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะลงทุน SSFX กองไหนดีให้พิจารณา 3 คำถามนี้ เพื่อช่วยเลือก SSFX ที่ใช่สำหรับตัวเอง น่าสนใจ!! ดังนี้ 1. สินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่หากกองทุนเน้นลงทุนในหุ้น 80% ขึ้นไป
ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมักมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนกองที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์ 20-35% อื่น เช่น หุ้นกู้ เงินฝาก ทองคำ น้ำมัน ช่วยลดความเสี่ยงได้
2.ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ active หรือ passive โดยการลงทุนแบบ active คือ การลงทุนหุ้นที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าดัชนีอ้างอิง ต้องอาศัยความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการบริหารจัดการกองหรือมีกระบวนการคัดเลือกหุ้นด้วยการวิเคราะห์เชิงลึก ส่วนการลงทุนแบบ passive เน้นสร้างผลตอบแทนไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีอ้างอิง เช่น SET50 หรือ SET100 จึงทำให้ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน passive ต่ำกว่ากองทุนรวมที่มีกลยุทธ์แบบ active
3.ต้องการรับเงินปันผลระหว่างทางหรือไม่ ซึ่งขณะนี้มีทั้งกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล มีข้อดีต่างกันคือ SSFX ที่จ่ายปันผลเหมาะกับผู้ที่ชอบผลตอบแทนระหว่างการลงทุน หรือเพื่อให้มีกระแสเงินสด แต่เงินปันผลจะถูกหักภาษี 10%
เลือกเอาว่า รัก–ชอบแบบไหน อายุต่ำกว่า 50 ปี ลุยไปเลย เพราะต้องถือลงทุนยาว 10 ปีโลดดดด!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ