ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 21 ก.ค.63 ปิดที่ 1,377.00 จุด เพิ่มขึ้น 18.71 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 64,234.77 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 688.24 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด MINT ปิด 20.30 บาท บวก 1.60 บาท, BAM ปิด 25.25 บาท บวก 0.55 บาท, PTT ปิด 40.25 บาท บวก 1.75 บาท, PTTGC ปิด 50.50 บาท บวก 2.75 บาท และ PTTEP ปิด 96.50 บาท บวก 2.75 บาท
หุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคตอบรับความคืบหน้าผลการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 รวมถึงข่าวที่สหภาพยุโรปบรรลุการเจรจาข้อตกลงจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร ดันหุ้นรายตัวบวกแรง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
ขณะที่หุ้น MINT โดดเด่นทั้งราคาที่ปรับขึ้นแรงและมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นคึกคัก จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และความคาดหวังวัคซีนที่จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ส่งผลให้ไม่เพียงแค่ MINT แต่รวมถึงหุ้น ERW-CENTEL-AAV และ AOT ที่ราคาเพิ่มขึ้นโดดเด่นด้วย!!
ส่วนหุ้นแบงก์ยังสวนทาง หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะ KBANK ที่ผลกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 66%
โดย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุว่า KBANK รายงานกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ 66% โดย Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมาย 109.22 บาท ส่วน TMB กำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ 6% ขณะที่ Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.12 บาท
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่าประเด็นที่ต้องให้น้ำหนักและติดตาม สำหรับงบการเงินกลุ่มแบงก์งวด Q2/63 ประกอบด้วย ตัวเลข NPL และสินเชื่อที่ถูกจัดชั้นเป็น Stage 2 ของแต่ละธนาคาร, ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของแต่ละธนาคาร ตามด้วยมูลหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ของแต่ละธนาคาร
หากคิดเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อและยังไม่ได้จัดชั้นตาม TFRS 9 อาจทำให้งบการเงินยังไม่สะท้อนความจริง รวมทั้งเป้าหมายทางการเงินปี 63 ของแต่ละธนาคาร รวมถึงผลกระทบต่ออัตราส่วนเงินกองทุน (CAR) และการจ่ายเงินปันผลในปี 63!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ