ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 26 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,330.34 จุด เพิ่มขึ้น 4.46 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 47,193.61 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,550.92 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 37.50 บาท บวก 2 บาท, CPALL ปิด 67.50 บาท บวก 1.25 บาท, ADVANC ปิด 186 บาท ลบ 1.50 บาท, KBANK ปิด 91 บาท ลบ 1.25 บาท และ AOT ปิด 59 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ลดลง 40 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 10,759 ล้านบาท บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองตลาดสัปดาห์หน้า
ด้านเทคนิคคาดดัชนีจะแกว่งตัวแบบ Sideway โดยมีแนวรับที่แข็งแกร่งที่ 1,300 จุด คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับของนักลงทุน โดยเฉพาะแรงซื้อจากเม็ดเงินในช่วงโค้งสุดท้ายของกองทุน SSFX รวมถึงการทำ Window dressing ก่อนปิดสิ้นงวด Q2/63
แนะกลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นปันผลเด่น และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ได้ทำการวิเคราะห์กำไรบริษัทจดทะเบียนจาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก พบว่ามีถึง 4 อุตสาหกรรมที่กำไรไตรมาส 2 มีโอกาสลดลง ทั้ง QoQ และ YoY ดังนี้ 1.กลุ่มค้าปลีก ยอดขายลดลงอย่างมีนัยฯ จากการปิดสาขาในหลายบริษัทในช่วงปิดเมือง 2.กลุ่มขนส่งทางอากาศ ขาดรายได้เนื่องจากปิดสนามบินตลอดไตรมาส 2
3.กลุ่ม ICT มีกำไรลดลงจากกำลังการซื้อที่หายไป รวมถึงมีการปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าชั่วคราว 4.กลุ่มแบงก์รายได้จากดอกเบี้ยมีโอกาสลดลง เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 ทาง ธปท.มีการลดดอกเบี้ยนโยบายไป 2 ครั้ง 0.5%
ส่วนกลุ่มน้ำมันและปิโตรฯ น่าจะเป็นกำลังหลักในการหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ให้เติบโต QoQ ได้ แม้ประสิทธิภาพในการทำกำไรอาจจะยังไม่เท่ากับภาวะปกติ แต่คาดว่าจะเติบโต QoQ ได้
สรุปคือ กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 มีโอกาสเพิ่มขึ้น QoQ แต่ลดลง YoY แต่ภาพรวมครึ่งปีแรก บริษัทจดทะเบียนอาจทำกำไรได้ไม่ถึง 40% ของประมาณการปี 63 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 6.88 แสนล้านบาท (EPS63F เท่ากับ 64 บาท/หุ้น) แสดงว่าช่วงที่เหลือของปี บริษัทจดทะเบียนจะต้องทำกำไรเกินกว่า 60% ของประมาณการ
ถือเป็นระดับที่ท้าทาย และเป็นความเสี่ยงต่อดัชนีตลาดที่ปัจจุบันซื้อขายกันบน P/E เกินกว่า 20 เท่า!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ