ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 13 ก.ค. 63 ปิดที่ 1,342.37 จุด ลดลง 8.13 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 62,374.16 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 422.87 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPF ปิด 33.75 บาท บวก 2 บาท ,STGT ปิด 81.75 บาท บวก 7.25 บาท มู,STA ปิด 30.25 บาท บวก 2.25 บาท ,PTT ปิด 37.50 บาท ลบ 0.75 บาทและ AOT ปิด 54.50 บาท ลบ 0.50 บาท
“สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ มองหุ้นไทยมี upside จำกัด หลัง valuation มูลค่าหรือราคาหุ้นไม่สมเหตุสมผล แม้ความเสี่ยงระยะสั้นลดลง แต่ความไม่แน่นอนระยะยาวยังมีอยู่
ยังคงมุมมองการลงทุนระมัดระวังต่อภาคบริการเนื่องจาก 3 ปัจจัย คือการฟื้นตัวช้า,อัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง และ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
กลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 3 สำหรับพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว แนะให้เข้าซื้อหุ้น defensive คุณภาพสูง เช่น กลุ่มสินค้าจำเป็นและกลุ่มการแพทย์ แม้การ rotation ไปยังกลุ่มหุ้น cyclical ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป น่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่แนะนำกลุ่มที่มีความคาดหวังต่ำ เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี และแบงก์
ทั้งนี้ หุ้นรายตัวให้ความสำคัญกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและ story เกี่ยวกับการเติบโตรอบใหม่มากกว่าการปรับเพิ่ม valuation ดังนี้ พอร์ตลงทุนแบบ defensive ซึ่งประกอบด้วย top picks จากไตรมาส2 คือหุ้น BDMS -BEM-BTS และ CPF และหุ้น defensive ใหม่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ ADVANC -BCH
ส่วนพอร์ตลงทุนเชิงกลยุทธ์ เน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น BBL- ERW- IVL และ HAN
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกและไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส2 แต่ต่อไปอาจมีความเสี่ยง downside บางอย่าง ที่จะส่งผลกระทบทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงมากกว่าที่คาดไว้
มีปัจจัยเสี่ยง 3 ประการ คือ 1. การลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงของสหรัฐฯ 2.การระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19 3.ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต !!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ