ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 ส.ค.63 ปิดที่ 1,330.81 จุด เพิ่มขึ้น 9.58 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 55,135.61 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,823.51 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 38 บาท ลบ 0.50 บาท, DELTA ปิด 113.50 บาท ลบ 9.50 บาท, AOT ปิด 51.25 บาท บวก 1.50 บาท, MINT ปิด 18.60 บาท บวก 0.70 บาทและ CPALL ปิด 69.25 บาท บวก 0.50 บาท
มีมุมมองจากบล.ทิสโก้ “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ เผยว่า ปัจจุบันหุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับฐานหาสมดุลใหม่ และมีแนวโน้ม Underperform หรือปรับขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลกอีกสักระยะ จาก 3 ปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาดอยู่
คือ 1.ประมาณการกำไรของตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลงอีก โดยจากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) 133 หลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วน 76% ของมูลค่าตลาดรวม คาดจะมีกำไรสุทธิรวมเพียง 9.01 หมื่นล้านบาท ลดลง 49% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 17% เทียบกับไตรมาสก่อน
2.การเมืองระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้น 3 พ.ย.นี้ ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงอึมครึม คาดว่าการปรับ ครม.จะเกิดขึ้นภายในต้น ส.ค.นี้
3.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้อาจหยุดชะงักหรืออ่อนแอลง เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงที่ผ่านมากำลังทยอยหมดลง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกถัดไปอาจล่าช้าหรือไม่เพียงพอ ประกอบกับมี COVID-19 ระลอกสองในหลายประเทศ อาจทำให้ต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะสั้น
ทั้งนี้ แนะให้นักลงทุนหาจังหวะซื้อหุ้นช่วงที่ดัชนีลงมาต่ำกว่า 1,300 จุด เน้นลงทุนในหุ้นงบดีมีปันผลจ่ายระหว่างกาล เช่น CPF, DCC, SMPC และ TVO รวมทั้งหุ้นบางตัวที่ตลาดมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น เช่น AP, CPF, DCC และ PRM
หุ้นเด่น แนะนำเดือน ส.ค.ได้แก่ AP, CPF, DCC, PRM, SMPC และ TVO ด้านเทคนิคให้แนวรับแรกที่ 1,300–1,305 จุด แนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,250–1,280 จุด ส่วนแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,350 จุด ถัดไปที่ 1,380–1,390 จุด!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ