ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,396.77 จุด ลดลง 22.00 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 82,892.56 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 752.80 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SUPER ปิด 1 บาท บวก 0.13 บาท, BAM ปิด 25.50 บาท บวก 0.70 บาท, STA ปิด 27.75 บาท ลบ 0.75 บาท, MINT ปิด 22 บาท ลบ 0.90 บาท และ SCB ปิด 86.50 บาท ลบ 2.75 บาท
หุ้นไทยดิ่งลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯและดาวโจนส์ฟิวเจอร์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ย นโยบายไว้ที่เดิม ขณะที่เฟดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะหดตัวลงในปีนี้ 6.5% และปีหน้าจะดีดตัวขึ้น 5% ขณะที่ไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แถมยังส่งสัญญาณว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปจนถึงปี 65 กดดันภาพรวมการลงทุน โดยหุ้นไทยถูกเทขายกดดัชนีลงมาหลุด 1,400 จุดตามคาด
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า นิคมอุตฯสามารถยืนปิดบวกได้ โดย WHA +5.5% และ AMATA 3.7% จากการที่นักลงทุนมองว่าหุ้นยัง laggard ส่วนหุ้นที่คลาย lockdown ในการเปิดกิจการ ราคากลับปรับตัวลง จากความกังวลการระบาดรอบ 2 ทั้ง CENTEL -5.5%, MINT -3.9%, ERW -3.8%, AOT -3.8%, CRC -3.4%, MAJOR -3.4% และ AWC -2.6% เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มน้ำมันได้รับผลกระทบจากความกังวลเช่นกัน นำโดย PTTGC, IVL, PTTEP, ESSO, TOP, PTT และ SCC พาเหรดร่วงทั้งกระดาน รวมทั้งหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่กังวลในการลดอัตราดอกเบี้ย
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ชี้ว่าตลาดเข้าสู่การปรับฐานสอดคล้องกับคาดการณ์ โดยประเมินแนวรับแรกบริเวณ 1,390 จุด และแนวรับถัดไปบริเวณ 1,360-1,370 จุด ยังแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นชุด D&D (Defensive and Domestic Play) ที่ทนความผันผวนของตลาดได้ดี ได้แก่ ADVANC, INTUCH, CPALL, SUPER, TACC, BCH และแบ่งซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร ได้แก่ KBANK, SCB, BBL
ปิดท้าย กองทุนบัวหลวง จัดทำ Fund Comment เผยมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือน มิ.ย.ว่า ต้องให้ความสำคัญเรื่องการคัดสรรหุ้นมากขึ้น เนื่องจากตลาดปรับขึ้นมารับแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจไปบ้างแล้ว ทำให้ระดับมูลค่าหุ้นโดยรวมค่อนข้างตึงตัว กลยุทธ์การลงทุน เน้นเลือกลงทุนหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีความสามารถในการแข่งขัน มีกลยุทธ์การปรับตัวที่ดี
รวมทั้งให้น้ำหนักมากขึ้นกับธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงภาวะปกติในเวลาไม่นาน!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ