Home Blog Page 7

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ รพ.ผู้สูงอายุเฌ้อสเซอรี่ โฮม มอบสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า MTL Health Buddy

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าเมืองไทยประกันชีวิต ตอบรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ด้วยการเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม   ที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตแบบสมาร์ทของผู้สูงอายุให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี  ตอกย้ำนโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning)

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต โดยโครงการ “MTL Health Buddy” จับมือ โรงพยาบาลผู้สูงอายุเฌ้อสเซอรี่ โฮม (Chersery Home) โรงพยาบาลเพื่อผู้สูงอายุที่พร้อมด้วยบริการและการดูแลอย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิด Professional & Hospitality Decentralized Healthcare for ALL ร่วมเติมเต็มความอุ่นใจด้วยการมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ประกอบด้วย 

  • ส่วนลด 10% สำหรับบริการกายภาพบำบัดที่บ้าน
  • ส่วนลด 10% บริการ Homecare Service ส่งและจัดหาผู้ดูแลผู้สูงอายุ รูปแบบดูแลประจำ       หรือ ไปกลับ 12 – 24 ชม.
  • ส่วนลด 10% เมื่อใช้บริการห้องพักในโรงพยาบาลหรือศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูของ Chersery Home
  • ส่วนลดค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าตรวจแล็บ 10% เมื่อใช้บริการห้องพักในโรงพยาบาลหรือศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูของ Chersery Home
  • บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพียง 650 บาท/ครั้ง
  • ฟรี บริการตรวจสุขภาพผู้สูงวัย ปีละ 1 ครั้ง (ตามโปรแกรมที่โรงพยาบาลกำหนด)

โดยสิทธิประโยชน์ข้างต้น สามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 ธันวาคม 2567  ทั้งนี้ ลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ที่สนใจใช้บริการดังกล่าวเพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. ยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่  MTL Health Buddy แจ้งความประสงค์ในการใช้บริการและรับบริการตามสิทธิประโยชน์พิเศษต่อไป

อนึ่ง โครงการ MTL Health Buddy ดูแลครบเครื่อง เรื่องสุขภาพผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร เป็นบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ทั้งประกันรายบุคคล และประกันกลุ่ม  ที่สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ    ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ  เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่  www.muangthai.co.th  หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766

TNL เปิดแผนปี 67 ลุยธุรกิจการเงินเต็มสูบ ตั้งเป้ารายได้โต พร้อมรักษาอัตราทำกำไร มั่นใจเดินถูกทาง

TNL เปิดแผนธุรกิจ ปี 67 สยายปีกธุรกิจบริการการเงินเต็มศักยภาพ เพิ่มพอร์ตสินเชื่อ  เป็น 6,100 ล้านบาท พร้อมกำเงิน 1,200 ล้านซื้อหนี้ NPLs มาบริหาร ตั้งเป้ารายได้โต 10-12% รักษาอัตราการทำกำไรสุทธิที่มากกว่า 15% มั่นใจเดินมาถูกทาง! หลังปี 66 โชว์ผลงานกำไรสุทธิ 513 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 403% จากปีก่อน เพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 18% จาก 5% ในปี 65 หลังเบนเข็มลุยธุรกิจการเงิน

นายกิตติชัย ตรีรัชตพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2567 ว่าบริษัทยังคงมุ่งเดินหน้าขยายธุรกิจ New Growth Engines ใน 3 ธุรกิจใหม่ ที่จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรให้บริษัทได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะธุรกิจปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Secured Lending Business) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย (Management of NPLs/NPAs Business) หรือธุรกิจ AMC  

โดยบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงาน (Operating Revenue) ปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 2,800 ล้านบาท เติบโต 10-12% จากปีก่อน พร้อมรักษาอัตราการทำกำไรสุทธิที่มากกว่า 15% สำหรับธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกันที่ดำเนินการผ่านบริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด (Oxygen Asset) ตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 6,100 ล้านบาทโตขึ้นประมาณ 2-3% สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และด้านธุรกิจ AMC ที่ดำเนินการผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์ ออกซิเจน จำกัด (Oxygen Asset Management หรือ OAM) ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. คาดว่าจะเรียกเก็บหนี้ได้ 180 ล้านบาท และตั้งเป้าลงทุนซื้อหนี้ NPL เพิ่มที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีหนี้เสียจากสถาบันการเงินทยอยออกมาขายจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจ

“ท่ามกลางความท้าทายทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บริษัทยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่ออย่างรอบคอบ ควบคู่ไปกับการขยายพอร์ตลงทุน NPL อย่างมีคุณภาพและรัดกุม โดยให้ความสำคัญกับบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ และใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพของ AMC” นายกิตติชัย กล่าว                                                                                

นายกิตติชัย กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate Development for Sales Business) ที่ดำเนินการโดยบริษัท ทีเอ็นแอน อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNL Alliance หรือ TNLA) ซึ่งได้ร่วมลงทุนกับ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ผ่านบริษัทร่วมทุน (JV) ในสัดส่วน 50:50 ปัจจุบัน มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอยู่ 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยก่อสร้างเสร็จ และพร้อมโอนในปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมียอดโอนรวม 3,000 ล้านบาทในปีนี้                      

นายกิตติชัย ยังกล่าวถึงผลการดำเนินงาน ปี 2566 ซึ่งถือเป็นปีแรกที่ TNL ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โดยเข้าลงทุนใน 3 ธุรกิจใหม่ โดยมั่นใจว่าการแปลงโฉมธุรกิจครั้งนี้ จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน มั่นคง ในระยะยาว ให้แก่ TNL และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเห็นได้จากผลงานปี 2566 ที่บริษัทมีการเติบโตทั้งด้านรายได้และกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2566 TNL มีรายได้รวมที่ 2,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 910 ล้านบาท คิดเป็น 46% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจาก 3 ธุรกิจใหม่ ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 411 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 403% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปี 2565 TNL ยังไม่มีรายได้จาก 3 ธุรกิจใหม่ และหลังจากเสริมทัพ 3 Growth Engine ใหม่ TNL สามารถเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 18% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ 5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

และล่าสุดคณะกรรมการบริษัทเห็นชอบเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 เม.ย.2567 เพื่อขออนุมัติจ่ายปันผลจากกำไรสะสมเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 3 พ.ค. 2567 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 2 พ.ค. 2567 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 20 พ.ค. 2567                       

ทั้งนี้ การเติบโตของ 3 ธุรกิจใหม่ ในปี 2566 มีดังนี้                                                                

1. ธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน Oxygen มีรายได้ 481 ล้านบาท และพอร์ตสินเชื่อ 5,940 ล้านบาท โตขึ้นกว่า 2,341 ล้านบาท หรือ 66% เมื่อเทียบกับปี 2565 ทั้งนี้ Oxygen ยังคงรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้ดี โดยลูกหนี้ทั้งหมดมีสถานะปกติ ไม่มีลูกหนี้ที่เป็น NPL แต่ Oxygen ได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ตามหลักความระมัดระวังรอบคอบ เป็นจำนวน 95 ล้านบาท เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและไม่แน่นอน                            

2. ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ OAM เริ่มรับรู้รายได้ดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ปี 2566 หลังประมูลพอร์ต NPL แรกได้สำเร็จในปลายไตรมาส 1 ปี 2566 และต่อมาในปลายปี OAM ได้ซื้อพอร์ต NPL เพิ่มอีก 2 พอร์ต ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตบริหารหนี้ของ OAM อยู่ที่กว่า 3,800 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 โดยในปี 2566 OAM มีรายได้ดอกเบี้ยรวม 72 ล้านบาท และได้ตั้งสำรอง ECL จำนวน 13 ล้านบาท เพื่อรองรับความผันผวนของธุรกิจและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต                                                                                                         

3. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย TNLA มีรายได้ 287 ล้านบาท ในปี 2566 จากการกำกับดูแลโครงการ และรายได้ดอกเบี้ยรับ จากการให้เงินกู้ยืมแก่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ 6 กิจการร่วมค้า ร่วมกับ NOBLE

“MC” พบนักลงทุน เผยไตรมาส 3 ปีบัญชี 67 มั่นใจโตต่อเนื่อง เปิดแผนครึ่งปีหลัง ผนึกพันธมิตรลุยขยายฐานลูกค้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC โดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์

MC แจ้งต่อนักลงทุนว่า ผลงานครึ่งปีหลังปีบัญชี 2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการเดินหน้าในการขยายธุรกิจ ทั้งการขยายสาขา Mc Outlet และการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ Mc Resort 2024 รวมไปถึงการจับมือกับพันธมิตรในการทำธุรกิจ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและตอกย้ำ “แม็คยีนส์ แบรนด์ยีนส์อันดับ 1 ของไทย” เพื่อสนับสนุนให้ผลดำเนินงานของบริษัท เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

รวมทั้งเชื่อมั่นผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 จะนิวไฮต่อจากไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 (1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2566) กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ  283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เทียบไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 129.08 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น14.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท หนุนงวดครึ่งปี ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. – 31 ธ.ค. 2566) มีกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท  และคณะกรรมการมีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.50 บาท จะจ่ายเป็นเงินสดในวันที่ 12 มี.ค.นี้

เมืองไทยประกันชีวิต สร้างผลงานโดดเด่นบนโซเชียล คว้า 2 รางวัลใหญ่เวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 12

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 2 รางวัลใหญ่ จากเวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 12
Best Brand Performance on Social Media สาขา Insurance & Assurance
และ Best Brand Performance Campaign on TikTok

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับ 2 รางวัลใหญ่ รางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance (แบรนด์ที่ทำผลงาน ยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจประกันภัย (ประกันวินาศภัย และประกันชีวิต) เป็นครั้งที่ 4 และรางวัล “Best Brand Performance Campaign on TikTok” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ในงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย Thailand Social Awards ครั้งที่ 12 จัดขึ้นโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด งานนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลที่เป็น ส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ อีกทั้งยังร่วมส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดีย อย่างสร้างสรรค์ และยกระดับวงการโซเชียล ด้วยการมอบรางวัลเชิดชูผู้ใช้โซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมในสาขาต่าง ๆ โดยงานดังกล่าว จัดขึ้น ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม

ทั้งนี้ รางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance ตัดสินจากค่าชี้วัด แบรนด์ (BRAND SCORE) ค่าชี้วัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยวัดประสิทธิภาพการสื่อสารจากช่องทางหลักของแบรนด์ (Own Chanel) และจากช่องทางที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ (Earn Channel) ผ่าน 5 ช่องทาง คือ Facebook, Instagram, TikTok, Twitter และ YouTube ทั้งประสิทธิภาพเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ (Sentiment Score) อีกด้วย

สำหรับรางวัล “Best Brand Performance Campaign on TikTok” ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกของการมอบรางวัลจากทาง TikTok Thailand โดยเป็นรางวัลให้กับแบรนด์ที่มีแคมเปญการโฆษณาและการตลาดผ่าน TikTok for Business อย่างสร้างสรรค์ และทำให้เกิดการรับรู้แบรนด์ การมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างสูงที่สุดในประเทศไทย

แมกซ์ โซลูชัน จับมือ gettgo เพิ่มทางเลือกให้กับสมาชิก Max Card เข้าถึงแผนประกันออนไลน์

บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี ตอกย้ำความเป็นผู้นำในเรื่องการสร้างประสบการณ์ใหม่ ทั้งเรื่องบันเทิง กิน เที่ยว ช้อป และเพื่อให้ครบเครื่องในเรื่องความเป็นแอปพลิเคชันที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิก Max Card ล่าสุดทางบริษัทฯ ได้จับมือกับ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo แพลตฟอร์มเปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ให้การซื้อประกันออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me ที่สามารถเลือกความคุ้มครองได้หลากหลาย จากบริษัทประกันภัยชั้นนำมากมาย และชำระค่าเบี้ยประกันง่าย ๆ ได้ด้วยแต้ม Max Point

นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี เปิดเผยว่า “ในปี 2024 นี้ เป็นอีกปีที่น่าติดตามของแอปพลิเคชัน Max Me ซึ่งเรายังคงมุ่งเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมและสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ที่ตรงใจและครบครันทุกความต้องการแก่สมาชิก Max Card อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครั้งนี้ เราร่วมกับบริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ในการซื้อประกันออนไลน์ผ่าน Max Me ด้วยแต้ม Max Point และในทางกลับกันก็เป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ของแต้ม Max Point ในการชำระค่าเบี้ยประกันภัยอีกด้วย

โดยสมาชิก Max Card สามารถซื้อประกันภัย อาทิ ประกันรถยนต์ ประกันเดินทางต่างประเทศ ประกันอุบัติเหตุ และประกันภัยประเภทอื่น ๆ ผ่านบริการ “ประกันออนไลน์” บน Max Me และเลือกชำระค่าเบี้ยประกันด้วยเงินใน Max Me Wallet ทั้งหมด หรือ แต้ม Max Point ทั้งหมด หรือ ชำระด้วย เงิน ใน Max Me Wallet + แต้ม Max Point ได้

นายวรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo กล่าวว่า “นับเป็นโอกาสดีรับปี 2024 ที่ได้ทำงานร่วมกับ Max Me และเป็นอีกก้าวที่สำคัญของ gettgo ในปีนี้ ที่จะช่วยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้าเข้าถึงการซื้อประกันออนไลน์ได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว และมีโปรโมชันพิเศษที่จัดขึ้นสำหรับลูกค้า Max Me อีกด้วย”

โดยสมาชิก Max Card ทุกท่านจะได้รับสิทธิพิเศษ ท่านที่ชำระเบี้ยประกันภัยทุก ๆ 50 บาท จะได้รับ Max Point 2 แต้ม ส่วนสมาชิก Max Card Plus ที่ชำระเบี้ยประกันภัยทุก ๆ 50 บาท จะได้รับ Max Point 4 แต้ม อีกทั้งเรายังมีสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกที่ซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ, ประกันรถยนต์, พ.ร.บ. รถยนต์, ประกันรถยนต์ 2+ รายเดือน รับสูงสุดถึง 4 ต่อ

สมาชิก Max Card ทุกท่านสามารถซื้อประกันผ่าน Max Me ได้ง่าย ๆ โดยดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน Max Me และลงทะเบียน จากนั้นไปที่หน้าแรกของ Max Me และเลือก “ประกันออนไลน์” เลือกรายการส่งเสริมการขายที่ต้องการ อ่านข้อกำหนดและเงื่อนไข และกด “ซื้อประกัน” หลังจากนั้นระบบจะพาไปหน้าเลือกซื้อประกันของ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ท่านสามารถทำการเลือกซื้อประกันได้จนจบขั้นตอน

ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://s.gettgo.com/ggmaxme  สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Max Card นี้เริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค. – 30 มิ.ย. 67 นี้เท่านั้น และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Max Me ได้ทั้งจาก Play Store และ App Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1614 ทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.

ซีพีเอฟ – อบก. ร่วมเป็นองค์กรต้นแบบพัฒนาอุตฯ คาร์บอนต่ำ เพิ่มอาหารสีเขียวตามแนวทาง BCG ช่วยลดโลกร้อน

บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพี ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนกลุ่มธุรกิจอาหาร ร่วม “โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ตามแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ BCG Model” ประจำปี 2567 เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารธุรกิจตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ชูคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช จ.นครราชสีมา เป็นต้นแบบฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสีเขียวสู่ผู้บริโภค หนุนซีพีเอฟก้าวสู่การเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net-Zero ในปี 2050

นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ อบก. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการต้นแบบของการพัฒนาการผลิตแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยเศรษฐกิจ BCG และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (Thailand’s Long-Term Greenhouse Gas Emission Development Strategy: LT-LEDS) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ของไทย ในปี 2050 และเป้าหมาย Net-Zero GHG Emission ในปี 2065 ทั้งนี้ องค์กรภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 6 องค์กรจะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาแผนการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ โดยนำแนวคิดของโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต และการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์แบบเดิม และผลิตภัณฑ์แบบใหม่ เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางการค้าขององค์กรภาคธุรกิจไทย และการเพิ่มมูลค่าในโครงสร้างทางเศรษฐกิจระดับมหภาค รวมถึง การพัฒนาคุณภาพชีวิตของภาคประชาสังคม

รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า โครงการฯ นี้ มีเป้าหมายส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมไทยตระหนักและช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจจากธุรกิจที่ประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น และการสร้างงานสีเขียว สำหรับโครงการนี้ ได้คัดเลือก 6 จาก 30 บริษัทเข้าร่วมโครงการ โดยพิจารณาจากความมุ่งมั่นและการมีเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างชัดเจน ในส่วนของซีพีเอฟ โดยคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช มีการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารที่โดดเด่น โดยเฉพาะการนำของเสียไปใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสามารถนำมาเป็นตัวอย่างของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร

นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ซีพีเอฟ เป็นองค์กรเดียวในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับคัดเลือกจาก อบก. และ VGREEN มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำฯ ซึ่งแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารธุรกิจโดยประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับแนวทางของซีพีเอฟ ที่ให้ความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ และการแปรรูปอาหาร เพื่อปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนลดของเสียจากการดำเนินธุรกิจ และการเปลี่ยนของเสียให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

“ซีพีเอฟได้นำแนวทางเศรษฐกิจ BCG เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตอย่างจริงจัง ปัจจุบันคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของ ซีพีเอฟ มีการใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานของฟาร์มร้อยละ 80-90 ของการใช้พลังงานทั้งหมด การเข้าร่วมโครงการฯ จะนำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ BCG เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรและลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการผลิต รวมถึงการนำของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบมาใช้ประโยชน์ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร และเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมอาหารที่มีการดำเนินงานที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยบนเวทีโลก” นายสมคิดกล่าว

ฟาร์มและโรงคัดไข่ไก่ทุกแห่งของซีพีเอฟนำระบบควบคุมคุณภาพไข่ไก่ให้มีความสด สะอาด ปลอดจากยาปฏิชีวนะ นำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาช่วยประหยัดพลังงาน เปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานใช้ในฟาร์ม กากของเหลือจากระบบไบโอแก๊สใช้เป็นปุ๋ยบำรุงดิน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดของซีพีเอฟ เป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นกว่า 532,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ Cage Free แบรนด์ยูฟาร์ม อีก 2 รายการได้ขึ้นทะเบียน “ฉลากคาร์บอนนิวทรัล” กับ อบก. ถือเป็นผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ปลอดคาร์บอนของไทย และภูมิภาคเอเชีย

สำหรับคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช ซีพีเอฟได้ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในฟาร์ม จากการเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงาน ได้รับรางวัลดีเด่น ด้านพลังงานทดแทน และยังเป็นตัวแทนระดับภูมิภาครับรางวัล ASEAN Energy Awards 2022 จากศูนย์พลังงานอาเซียน และอยู่ระหว่างการศึกษาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจากแสงอาทิตย์เพิ่มเติม สู่การเป็นฟาร์ม RE100 ภายในปี 2567

AIS คว้าสุดยอดแบรนด์ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย THAILAND SOCIAL AWARDS 7 ปีซ้อน

AIS คว้ารางวัลสุดยอดแบรนด์ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย หรือ Best Brand Performance on Social Media จากเวที THAILAND SOCIAL AWARDS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ยืนหนึ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่มุ่งตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกแพลตฟอร์มบนโลกโซเชียลมีเดีย ด้วยการใช้ Data Analytic มาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ทำให้ AIS สามารถสร้าง Brand Love ด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่สามารถสื่อสารได้อย่างเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ

นางสาวพิมพ์นรี-น้อยธรรมราช หัวหน้าแผนกบริหารแบรนด์ AIS

นางสาวพิมพ์นรี น้อยธรรมราช หัวหน้าแผนกบริหารแบรนด์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลเราให้ความสำคัญในการเชื่อมต่อกับลูกค้าในทุกช่องทาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่วันนี้มีความหลากหลายของแพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้รูปแบบการนำเสนอของคอนเทนต์ต้องปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องทำความเข้าใจไลฟ์สไตล์ลูกค้าโดยใช้ Data Analytic เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และแตกต่าง”

“ขอขอบคุณ ไวซ์ไซท์ ที่มอบรางวัล Best Brand Performance On Social Media ให้กับ AIS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 นับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นตัวจริงบนโลกโซเชียลในทุกมิติ สะท้อนถึงความสำเร็จในการทำงานบนโซเชียลมีเดียที่เราไม่มองเป็นเพียงช่องทางการสื่อสาร แต่ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้า สร้างความใกล้ชิด การดูแลรับฟัง และสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาสินค้าบริการได้อย่างตรงใจ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายหลักด้านการสื่อสารและการสร้างแบรนด์ของ AIS ที่ต้องเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าและนำไปสู่การเป็น Brand Love ในที่สุด” พิมพ์นรี กล่าวทิ้งท้าย

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือกรมกิจการผู้สูงอายุ และส.ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver รุ่นที่ 3

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม จับมือกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดอบรม “โครงการการอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver” รุ่นที่ 3   ซึ่งเป็นหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  ให้แก่สมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ให้มีความรู้และทักษะ ที่จำเป็น ในการดูแลผู้สูงอายุ ตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย  โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม พร้อมด้วยนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  นางพิตราภรณ์  บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม นายกฤษณะพงศ์ แสนยากร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ     ร่วมในงาน โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้การอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุดังกล่าว จะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่รับการอบรมและสำหรับชุมชนและสังคมในระยะยาว ในด้านการเพิ่มความรู้และทักษะ โดยหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุจะช่วยเพิ่มความรู้และทักษะในการดูแลผู้สูงอายุที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุสามารถปฏิบัติดูแลอย่างถูกต้องและสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของสุขและเพิ่มความปลอดภัย ตลอดจนยังเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ช่วยส่งเสริมให้ชุมชน สามารถดูแลผู้สูงอายุที่ดีขึ้น และมีการสนับสนุนต่อกันในการดูแล

“ทรีนีตี้” เพิ่มน้ำหนักลงทุนเหตุหุ้นไทยถูก เชียร์ซื้อ 4 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน

”ทรีนีตี้” มองหุ้นเดือนมี.ค. สดใสขึ้น ให้กรอบแนวรับแรกอยู่ที่ 1370 จุด  ส่วนแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1340 จุด ในทางกลับกันประเมินแนวต้านแรกที่ 1410 จุด และแนวต้านสำคัญ 1440 จุด พร้อมเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย หลัง Valuation  ลงมาอยู่ในโซนที่น่าสนใจ ประเมินการปรับลดประมาณการกำไรบจ.สิ้นสุดชั่วคราว คัด 4 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน กลุ่มโรงแรม เลือก MINT, CENTEL, ERW กลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC กลุ่มโรงพยาบาล  BDMS, BH, BCH, PR9 และกลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE

               นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด  เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคม 2567 ว่า  สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคม คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ได้ โดยมีปัจจัยหนุนอยู่หลายปัจจัยดังนี้ 1.การเริ่มต้นบังคับใช้มาตรการฟรีวีซ่าระหว่างไทย-จีน ซึ่งน่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย 2.ความคาดหวังต่อการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการลงทุน หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่มีโอกาสถูกประกาศใช้เร็วขึ้น โดยทั้งเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกจากสภาล่างและสภาสูงอย่างต่อเนื่อง 3.ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนทั่วไปในประเทศ หลังตลท.เริ่มมีการปรับตัวที่ Active มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการจำกัดธุรกรรม Short selling หรือ Program trading รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่างๆ 4.Fund flow ที่น่าจะเริ่มกลับเข้ามาเป็นบวกมากขึ้น หลังผ่านพ้นการปรับตะกร้าของดัชนี MSCI ในช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งในรอบนี้ตลาดหุ้นไทยถูกลดน้ำหนักลงเล็กน้อยในตะกร้า MSCI EM 5.Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่ลงมาอยู่ในโซนที่น่าสนใจแล้ว สะท้อนผ่าน Earning yield gap ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง  และ Relative PE ระหว่างหุ้นไทยกับหุ้น ASEAN ที่ลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ 6.การปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยที่น่าจะสิ้นสุดลงชั่วคราว หลังผ่านพ้นเทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/66 ไปเป็นที่เรียบร้อย    

               ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในเดือนนี้จะมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1370 จุด และแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1340 จุด ในทางกลับกัน ประเมินแนวต้านแรกที่ 1410 จุด และแนวต้านสำคัญ 1440 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นไทยที่บริเวณดัชนี 1370 จุดหรือต่ำกว่า

               สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่ กลุ่มที่เห็นโมเมนตัมของการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้อย่างแข็งแกร่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ และ Mobility ของผู้คนที่สูงขึ้น ได้แก่ 1.กลุ่มโรงแรม ได้แก่ MINT, CENTEL, ERW 2.กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, BCH, PR9 และ 4.กลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรไปตามปัจจัยแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ) และ กลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ (ตามวอลุ่มการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยที่สูงขึ้น)

KCC โชว์แกร่ง ผลประกอบการปี 66 รายได้โตทุกด้าน

“KCC” โชว์กำไรสุทธิปี 66 กว่า 88.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.77% หลังลุยลงทุนซื้อหนี้ NPL เข้าพอร์ตกว่า 600 ล้าน ดันรายได้โตทุกด้าน

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทปี 2566 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 88.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.77% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากดอกเบี้ยสูงขึ้นจากการขยายพอร์ตลูกหนี้ NPL ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการรับชำระหนี้ และรายได้จากการขาย NPA ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมทั้งบริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการบริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายจากการปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้ง จำนวน 6.7 ล้านบาท แต่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นขณะที่งวดไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการดำเนินงานสุทธิรวม 57.22 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ ปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ 191.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.15 % เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากบริษัทมีรายได้จากทั้งดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้ กำไรจากการรับชำระหนี้ กำไรจากการขาย NPA และรายได้จากจากการให้บริการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น แม้ว่าในปี 2566 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นเพื่อนำเงินไปจัดหาและ ลงทุนในหนี้ NPL

“ในรอบปี 2566 มีประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น คือ บริษัทได้รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพใหม่ จำนวน 606.82 ล้านบาท ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ โดยลูกหนี้ทั้งหมดเป็นลูกหนี้ที่มีหลักประกัน
และบริษัทได้ออกหุ้นกู้จำนวน 900 ล้านบาท เพื่อซื้อลูกหนี้พอร์ตใหม่, จ่ายคืนหุ้นกู้ และเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนบางส่วน ขณะที่มีเงินรับจำนวน 305.91 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.53 %จากปีก่อน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KCC กล่าว

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 2,305.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 579.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.56 % โดยมีสาเหตุหลักมาจาก เงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีส่วนของเจ้าของเท่ากับ 1,170.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 75.45 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงวดจำนวน 88.65 ล้านบาท

นายทวี กล่าวถึงความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างเป็นบริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง ว่าเมื่อเดือน ธ.ค. 2566 บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นคำขอให้แก่ ก.ล.ต. เรื่องการปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อขยายขอบเขตและเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจของบริษัทแล้วซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน