Home Blog Page 44

เตือนมัลแวร์ อ้างชื่อกระทรวงสาธารณสุข / ไวรัสโคโรนา ระบาด

สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA เตือนภัย หลังพบว่า มีการแพร่กระจายมัลแวร์ทางอีเมล์ โดยใช้เมล์ว่า ไวรัสโคโรนา และกระทรวงสาธารณสุข

โดยพบว่า มัลแวร์พวกนี้ จะมีรูปแบบ ตามนี้

  • ชื่ออีเมลปลอม no-reply@moph.go.th
  • หัวข้ออีเมล CoronaVirus
  • เนื้อหาภาษาไทย แต่เป็นการใช้โปรแกรมแปลภาษา
  • ใช้โลโก้ สถาบันวิจัยสาธารณสุข และ กระทรวงสาธารณสุข
  • มีไฟล์แนบชื่อ กระทรวงสาธารณสุขโคโรนาข้อมูลไวรัสด่วน2020.gz

โดยหากได้รับอีเมล์ลักษณะนี้ มีข้อแนะนำ ดังนี้

  1. ไม่เปิดไฟล์แนบ และแจ้ง รายงานให้ผุ้ดูแลระบบทราบ
  2. หากเผลอเปิดไฟล์ ควรปิดเครื่อง และแจ้งผู้ดูแลระบบทันที เพื่อตรวจสอบและยับยั้งความเสียหาย
  3. ผู้ดูแลระบบ ควรตรวจสอบว่ามีการส่งอีเมล์ลักษณะนี้มาที่หน่วยงานหรือไม่ หากพบให้รีบลบอีเมล์ดังกล่าวทันที
  4. หากพบการเชื่อมต่อที่ต้องสงสัย ควรปิดกั้นการเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ออกจากระบบเครือข่ายเป็นการชั่วคราว

AIS โชว์รายได้ไตรมาสแรก 4.2 หมื่นล. พร้อมลงทุน 5G เพิ่ม 3.5 หมื่นล้าน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยภาพรวมผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563 เอไอเอส มีรายได้รวมอยู่ที่ 42,845 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,004 ล้านบาท ด้านธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีรายได้ลดลง -1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการแข่งขันของอุตสาหกรรม ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวลดลง และเป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงกลางมี.ค. ส่งผลให้ต้องปิดให้บริการชั่วคราว AIS Shop, Serenade Club และ AIS Telewiz ในพื้นที่ตามประกาศของภาครัฐ โดยมีผู้ใช้บริการรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 41.1 ล้านราย ยังคงมีฐานลูกค้าจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แบ่งเป็นลูกค้าระบบรายเดือน จำนวน 9.1 ล้านราย และมีลูกค้าระบบเติมเงินอยู่ที่ 32.0 ล้านราย

ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงเติบโตได้ดี มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 52,800 ราย ส่งผลให้ในปัจจุบัน มีลูกค้าประมาณ 1.1 ล้านราย เสริมให้รายได้เติบโต 27% เทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 1,640 ล้านบาทโดยเอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงแผนการตลาดต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ Fixed-Mobile Convergence ที่ผสานกันระหว่าง 3 บริการหลัก ทั้งอินเทอร์เน็ตมือถือ, อินเทอร์เน็ตบ้าน, คอนเทนต์ผ่าน AIS PLAYBOX และ AIS PLAY เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ

มาตรการล็อกดาวน์ และการ Work From Home  ส่งผลให้มีความต้องการใช้งานดาต้าและอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยเห็นได้ชัด จากช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม ส่งผลให้การใช้งานดาต้าไตรมาส 1/2563 เพิ่มขึ้นเป็น 14.7 กิกะไบต์/ผู้ใช้บริการ/เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน และร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน ด้านอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง เอไอเอส ไฟเบอร์ ก็มีความต้องการติดตั้งใหม่ที่สูงขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมส่งผลให้ยอดลูกค้าติดตั้งใหม่ในเดือนมีนาคมเพิ่มสูงขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของเอไอเอส ย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจาก COVID-19  ในไตรมาส 1/2563 รายได้จากการให้บริการหลักจึงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 33,090 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ส่งผลให้เอไอเอสยังคงความสามารถในการทำกำไร โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA) เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 19,576 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 7,004 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ  16.3%

ทั้งนี้ เอไอเอส ให้ความสำคัญกับการปรับตัวและแผนธุรกิจเพื่อคงรายได้จากหน่วยธุรกิจต่างๆ และหาแนวทางการลดต้นทุน, เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อคงกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไร ซึ่งเอไอเอส พร้อมเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้วยความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนภาษีดอกเบี้ยและค่าเสื่อม ในระดับ 0.7เท่า ซึ่งแสดงถึงระดับหนี้ค่อนข้างต่ำ และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกนี้ที่สูงกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะลงทุนขยายโครงข่ายบริการ 5G และ 4G เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

หลังจากที่เอไอเอสเป็นผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ในเดือนกุมภาพันธ์สำหรับพัฒนาบริการ 5G เพื่อเสริมศักยภาพความเป็นผู้นำในระยะยาว อีกทั้งจะช่วยสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ๆ ในอนาคต รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนเพื่อให้บริการ 4G  โดยการลงทุนขยายโครงข่ายบนคลื่นความถี่ใหม่ย่าน 2600MHz ได้เริ่มต้นในปีนี้ เพื่อให้บริการทั้งบนเทคโนโลยี 4G และ 5G โดยมีงบการลงทุน 35,000-40,0000 ล้านบาท และเดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย หลังจากขยายเครือข่าย 5G ครอบคลุม 77 จังหวัดแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา

เกษตร จับมือซีพีเอฟ จัดรถ Food Truck มอบอาหารให้ชาวบางกอกน้อย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารร่วมกันมอบอาหารจากรถ Food Truck ของซีพีเฟรชมาร์ท ให้แก่ชาวชุมชนบางกอกน้อย ตามโครงการ “อาหารปลอดภัยจากใจ…สู่ชุมชน” ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารจากวิกฤติโควิด19 ณ สำนักงานเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

รมว.เกษตรฯ เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับ ซีพีเอฟ จัดโครงการ “อาหารปลอดภัยจากใจ…สู่ชุมชน” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในชุมชนแออัดจากผลกระทบของโควิด19นั้น กระทรวงฯ ได้เริ่มต้นโครงการที่ เขตบางกอกน้อย และจะขยายความช่วยเหลือไปยังเขตอื่นๆ คือ บางพลัด บางขุนเทียน บางบอน และหนองแขม ตลอดจน จ.พิจิตร และ จ.ตรัง ต่อไป

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ได้นำรถ Food Truck CP Freshmart ออกมาใช้เป็นครั้งแรก ที่เขตบางกอกน้อย เพื่ออำนวยความสะดวกในการอุ่นร้อนอาหาร และแจกให้พี่น้องประชาชนได้รับประทานอาหารได้ทันที จะแจกอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานให้กับประชาชนในเขตบางกอกน้อย บางพลัด พื้นที่กรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดีและเสาร์

รถ Food Truck คันนี้สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติความอร่อยของอาหารที่นำมาแจกให้กับพี่น้องคนไทยในชุมนุมต่างๆ ซึ่งสามารถอุ่นอาหารได้ 120 กล่องต่อครั้ง เพื่อให้บริการได้อย่างรวดเร็ว

การส่งมอบอาหารให้ประชาชนในครั้งนี้ เป็นอีกส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศชาติ ประชาชน ให้ก้าวผ่านวิกฤติไวรัสโควิด19 ไปด้วยกัน ภายใต้หลักคิด Good Corporate Citizen กล่าวคือเป็นบริษัทที่ร่วมสร้างและดูแลสังคม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้กับประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟร่วมกับกองทัพภาคที่ 1 ได้มอบอาหารให้แก่ชุมชนคลองเตยไปแล้ว 8,499 ครัวเรือน

ทั้งนี้ นอกจากความรับผิดชอบที่จะไม่หยุดสายพานการผลิตอาหารเพื่อให้คนไทยมีอาหารอย่างเพียงพอแล้ว ซีพีเอฟยังสนับสนุนมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข โดยส่งอาหารให้แพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงการส่งอาหารให้ประชาชนที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และขยายผลไปถึงครอบครัวแพทย์-พยาบาลด้วย สะท้อนบทบาทของการเป็นบริษัทไทยผู้ร่วมต้านภัยโควิด19 อย่างจริงจังและต่อเนื่องตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

เอไอเอส มอบแพ็กเกจ YouTube Premium ฟรี นาน 6 เดือน ให้ลูกค้า

ดีลพิเศษเพื่อคนไทย เป็นเครือข่ายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แพ็กเกจ YouTube Premium ไม่มีโฆษณาคั่น พร้อมฟังเพลงฟรีจากทั่วโลกกับ YouTube Music application เติมเต็มความสุขให้คนไทย คลายเครียด ช่วงกักตัว

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส เปิดเผยว่า ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมของคนไทยที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่เชื่้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ทั้งการทำงาน เรียน ซื้อสินค้าบริการ ธุรกรรมทางการเงิน รวมไปถึงความบันเทิงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดดู YouTube ก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย

พบว่า ในเดือนมีนาคม ลูกค้าเอไอเอสมีอัตราการเข้าชม YouTube ในช่วงกักตัว เพิ่มขึ้น 50% จากเดือนกุมภาพันธ์

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส

ในสถานการณ์โควิด-19 ที่คนไทยกักตัวอยู่ที่บ้าน เอไอเอสจึงได้ประกาศการเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการร่วมกับ YouTube โดยผู้ใช้บริการเอไอเอสรายเดือน ได้รับชม YouTube แบบไม่มีสะดุด ไม่มีโฆษณาคั่น พร้อมฟังเพลงฟรีกับ YouTube Music application ฟังจากทั่วโลกผ่าน YouTube Premium ฟรีสูงสุด 6 เดือน ถือเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลไลฟ์ได้ผนึกกับแพลตฟอร์มวิดีโอชั้นนำระดับโลก

สิทธิพิเศษนี้ ผู้ใช้บริการเอไอเอสรายเดือนปัจจุบันที่จดทะเบียนในนามบุคคลธรรมดา จำนวนกว่า 7 ล้านราย รับสิทธิ์ง่ายๆ เพียงกด *656*1# โทรออก รอรับ SMS แจ้งขั้นตอนการสมัคร ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าเอไอเอสรายเดือนที่ใช้แพ็กเกจรายเดือน 699 บาทขึ้นไป รับสิทธิพิเศษดูวีดิโอบน YouTube แบบไม่มีโฆษณาคั่น ผ่านมือถือ ด้วย YouTube Premium ฟรี นาน 6 เดือน (มูลค่าสูงสุดถึง 1,254 บาท เนื่องจาก ค่าใช้บริการ YouTube Premium ระบบแอนดรอยด์ 159 บาท, ระบบ iOS 209 บาท) และสำหรับลูกค้าเอไอเอสรายเดือนที่ใช้แพ็กเกจรายเดือนต่ำกว่า 699 บาท รับสิทธิพิเศษ YouTube Premium ฟรี นาน 3 เดือน

และลูกค้าที่เปิดเบอร์ใหม่, ย้ายค่ายเบอร์เดิม และเปลี่ยนจากเติมเงินมาเป็นรายเดือน ก็ได้รับสิทธิ์ใช้ YouTube Premium ฟรีสูงสุด 6 เดือน เช่นกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้ ลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจ NEXT G Max Speed 699 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์ฟรี YouTube Premium นาน 6 เดือน และไม่คิดค่าเน็ตในการเข้าชม YouTube ในช่วงเวลา 4 ทุ่ม- 6 โมงเย็น และลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจ NEXT G Max Speed 299 – 599 บาท รับสิทธิ์ฟรี YouTube Premium นาน 3 เดือน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.ais.co.th/youtubepremium

ด้าน มุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ YouTube ประเทศไทย บอกว่า ตลาดเมืองไทย ถือเป็นฐานลูกค้าและแฟนที่เหนียวแน่นเป็นอย่างมากของ YouTube

นางสาวมุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ YouTube ประเทศไทย

ทาง YouTube จึงมีความตั้งใจที่จะมอบความห่วงใยและความสุขให้คนไทย โดยการร่วมมือกับ AIS มอบสิทธิพิเศษรับชม YouTube Premium ให้คนไทยได้รับชมฟรี เป็นเครือข่ายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

YouTube Premium ถือเป็นอีกขั้นของความบันเทิงบนแพลตฟอร์ม YouTube ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้ผู้ใช้สามารถรับชมวิดีโอได้แบบไม่มีโฆษณาคั่น สามารถดาวน์โหลดวิดีโอเก็บมาไว้ดูแบบออฟไลน์ได้ สามารถสลับหน้าจอไปใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อย่างอิสระ หรือจะล็อกหน้าจอก็ยังสามารถฟังเพลงได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถใช้งานแอป YouTube Music เพื่อฟังเพลงได้จากทั่วโลก

ปัจจุบัน YouTube Premium มีสมาชิกแบบ Subscription รวมกว่า 20 ล้านคน โดยในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา มีสมาชิกเพิ่มมากถึง 60% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ซีพีเอฟ ร่วมมือสาธารณสุข แจกคูปองส่วนลดจากใจให้ อสม.

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 พ.ค. นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการ “คูปองส่วนลดจากใจให้ อสม. #ฮีโร่ที่ลืมไม่ได้” ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ทางซีพีเอฟ ดำเนินการขึ้นเพื่อส่งมอบคูปองส่วนลดราคาพิเศษ จำนวน 1 ล้านใบให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านซีพี เฟรชมาร์ท ท้้งนี้ ก็เพื่อให้เป็นกำลังใจให้กับ อสม.ทั่วประเทศ ในการทำงานสนับสนุนรัฐบาลอย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันโรคโควิด 19

อสม.ที่สนใจ สามารถสมัครรับสิทธิได้ที่ร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท ทุกสาขา โดยแสดงบัตรประชาชน และบัตรอสม. เพื่อสมัครสมาชิก CP surprise และรับสิทธิได้ทันที

กกร.หั่นจีดีพี ปี 63 ติดลบ 3 – 5 % ส่งออกหดตัวลบ 5-10 %

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ว่า กกร.ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้ ว่าจะหดตัว -3% ถึง -5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน มี.ค.ว่าจะเติบโตที่ระดับ 1.5-2.0% หลังจากไตรมาสที่ 1/63 คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว -5% ส่วนการส่งออกทั้งปี ประเมินว่าจะหดตัว -5% ถึง -10%

สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ฉุดเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี ตัวชี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก บ่งชี้ถึงการหดตัวลงของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแทบทุกด้าน มีเพียงการใช้จ่ายของผู้บริโภคในหมวดสินค้าจำเป็นที่ยังขยายตัวได้โดยไตรมาสแรกคาดว่า จีดีพีจะติดลบไม่ต่ำกว่า 5.0%

สถานการณ์โควิด-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย ทำให้ภาครัฐทยอยผ่อนปรนกิจการบางประเภทกลับมาเปิดให้บริการแต่ต้องคงมาตรการ Social Distancing การเว้นระยะห่างทางสังคมขณะเดียวกันหากไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงภาครัฐทยอยผ่อนปรนการดำเนินกิจการเพิ่มเติมตามลำดับ ที่ประชุม กกร. จึงมองว่า เศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้นหรือฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะหดตัวน้อยลงจากในช่วงครึ่งปีแรก

ด้าน นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (8 พ.ค.) ผู้ประกอบการจะไปหารือกับกระทรวงสาธารณสุข ถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด หากมีการผ่อนปรนมาตรการระยะสอง สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น ห้างสรรพสินค้า ทั้งนี้ภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐ โดยเฉพาะการทำงานที่บ้านไม่ต่ำกว่า 50% ออกไปอีก 1 เดือน

เตือนนักลงทุนระวัง หลังพบบริษัทอ้างเสนอขายหุ้นได้โดยไม่ต้องผ่านก.ล.ต.

ก.ล.ต. เตือนประชาชนระวังถูกชักชวนให้ลงทุนในบริษัทที่อ้างว่าเสนอขายหุ้นได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตือนประชาชนตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนกับบริษัทที่อ้างว่าเสนอขายหุ้นได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพราะอาจไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. ตามที่กล่าวอ้างจ

จากกรณีที่มีประชาชนสอบถาม ก.ล.ต. เป็นจำนวนมาก ว่าได้รับการชักชวนให้ลงทุนในหุ้นของบริษัท พีบี สมาร์ทฟาร์มเมอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีการให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจว่า บริษัทที่เสนอขายหุ้นดังกล่าวเป็น (1) บริษัทเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) จึงสามารถเสนอขายหุ้นต่อประชาชนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (filing) ต่อ ก.ล.ต. และ (2) บริษัทเป็น SME หรือ startups ซึ่งสามารถระดมทุนได้ทั้งตลาดแรกและตลาดรองและเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลวงจำกัดและต่อประชาชนได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องยื่น filing ต่อ ก.ล.ต. นั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลบนเว็บไซต์ของ สวส. และ สสว. ไม่ปรากฏชื่อบริษัทดังกล่าวในรายชื่อบริษัทที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม และรายชื่อผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการระดมทุนผ่านตลาดทุน (PP-SME) (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2563) ดังนั้น หากบริษัทดังกล่าวเสนอขายหุ้นไม่ว่าจะเป็นหุ้นออกใหม่หรือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมต่อประชาชนทั่วไปในวงกว้าง ผู้เสนอขายต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือมีคุณสมบัติเป็นไปตามที่ ก.ล.ต. กำหนด ก่อนทำการเสนอขาย ก.ล.ต. จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ขอแจ้งว่า การออกและเสนอขายหุ้นของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดทั้งต่อบุคคลวงแคบและต่อประชาชน ผู้เสนอขายหุ้นต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด สำหรับกรณีบริษัทที่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ได้รับยกเว้นการยื่นขออนุญาตและการยื่น filing ต่อ ก.ล.ต. นั้น บริษัทดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติตามที่ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด* กล่าวคือ ต้องเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 โดย สวส. ได้ประกาศรายชื่อบริษัทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่เว็บไซต์ http://www.dsdw2016.dsdw.go.th/se-news/

สำหรับกรณี SME ที่เสนอขายหุ้นต่อบุคคล (ในวงจำกัด) โดยไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตกับ ก.ล.ต. SME นั้นจะต้องเป็นบริษัทจำกัดที่เป็นไปตามนิยาม SME ของกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2562 และเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการระดมทุนผ่านตลาดทุน (PP-SME)** โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการดังกล่าวที่เว็บไซต์ https://www.smeone.info/category-detail/9365 รวมทั้งต้องเป็นการเสนอขายหุ้นต่อบุคคลในวงจำกัดหรือต้องมีลักษณะตามที่เกณฑ์ของ ก.ล.ต.* กำหนดเท่านั้น เช่น ผู้ลงทุนสถาบัน นิติบุคคลร่วมลงทุน กิจการเงินร่วมลงทุน และต้องไม่โฆษณาการเสนอขายเป็นวงกว้างต่อสาธารณชน

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต. โทร 1207 ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถศึกษาสรุปเกณฑ์การเสนอขายหุ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคม (SE) และข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ที่ https://www.sec.or.th/…/…/LawandRegulations/SE-Offering.aspx และศึกษาสรุปเกณฑ์การเสนอหลักทรัพย์ต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ได้ที่ https://www.sec.or.th/TH/Pages/LawandRegulations/SME-PP.aspx


เงาหุ้น : หุ้นโรงไฟฟ้า

บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ระบุว่า กฟผ. เตรียมเจรจาผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP ขอลดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าลง และขอเลื่อนการ COD โรงไฟฟ้า SPP ที่จะเข้าสู่ระบบปี 2563 พร้อมสั่งให้ PTT หาโอกาสซื้อ LNG มากขึ้นในช่วงราคาถูก และซื้อก๊าซฯอ่าวไทยลดลง โดยคาดว่าจะเห็นตัวเลขมากขึ้นสัปดาห์หน้า

ถือเป็น sentiment เชิงลบต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มี SPP ที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิง (ปกติ 60–75% ของ MW จะขายให้กับ EGAT ส่วน MW ที่เหลือขายให้ลูกค้าอุตฯ) ซึ่งได้แก่ GPSC, BGRIM, GULF

เอเซียพลัสได้สอบถามผู้บริหารหุ้นในกลุ่มหลายรายพบว่า

ปกติสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของ SPP ที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงให้กับ EGAT จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80% ของปริมาณที่ผลิตได้ในปีนั้น

ประเด็นดังกล่าวยังอยู่ระหว่างเจรจาถึงแนวทางที่จะเกิดขึ้น เช่น หากปี 63 มีการเจรจาขอลดการรับซื้อในช่วงที่ความต้องการไฟฟ้าลดลงจากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งทำให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศขึ้นมาอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจริง EGAT อาจรับซื้อไฟฟ้าเพื่อชดเชยรายได้กลับมาให้ได้ตามสัญญาในภายหลัง เป็นต้น

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าด้วยราคาหุ้นในกลุ่ม แต่ละตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 15-30% ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือน

ทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับฐานจึงแนะนำหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในหุ้น GPSC (FV@B91), BGRIM (FV@B51), GULF (FV@B32.40), EGCO (FV@B360), RATCH (FV@B75) และ BPP (FV@B16)

เอเซียพลัสยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CK คาด 1Q63 กำไรสุทธิ 7.9 ล้านบาท ลดลง 98%YoY กดดันจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM และ CKP ที่ลดลงมาก ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีรายได้ลดลงตามมูลค่า Backlog ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 ปี

โดยการรับงานใหม่ที่ขาดช่วง ทำให้ภาพกำไรระยะสั้นยังไม่เด่นจากฐานรายได้ธุรกิจก่อสร้างที่ทรงตัวในระดับต่ำ

คาดหวังงานประมูลกลับมาช่วงครึ่งปีหลัง ช่วยหนุน Backlog ให้เติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกและสายสีม่วงใต้ ส่วนอีก 2 โครงการใหญ่ที่ CK มีโอกาสเข้าไปรับงาน ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเขื่อนหลวงพระบาง

แนะนำซื้อ โดยหาจังหวะลงทุนหลังประกาศงบ 1Q63 ที่คาดว่า ราคาหุ้นจะมีปฏิกิริยาเชิงลบต่อผลประกอบการ ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน ที่ 24 บาท!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บีทีเอสจับมือกทม. ร่วมจัดระเบียบผู้โดยสาร หนุนเหลื่อมเวลาทำงานรัฐ-เอกชน ช่วยลดความแออัดการเดินทางช่วงโควิด-19

รถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมกับ เจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร อำนวยความสะดวก และจัดระเบียบ ผู้ใช้บริการในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า – เย็น เพื่อปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างในการเดินทาง​ (Social Distancing) พร้อมขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ เผื่อเวลาในการเดินทางให้มากขึ้น และสนับสนุนแนวคิดให้ภาครัฐ และเอกชนขยับหรือเหลื่อมเวลาในการทำงาน เพื่อกระจายการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ ลดความเสี่ยง และความแออัดในการเดินทางของประชาชน ขณะที่บีทีเอสยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่นฆ่าเชื้อเพื่อสกัดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา​2019​ (โควิด-19)​

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด​ (มหาชน) เปิดเผยว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส ยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ ในการฉีดพ่น และเช็ดทำความสะอาด ภายในขบวนรถไฟฟ้า และจุดสัมผัสร่วม ภายในสถานี และบริเวณรอบสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ​ อย่างเต็มที่

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส

นอกจากนี้ เพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) บีทีเอสได้นำรถไฟฟ้าทุกขบวนที่มีอยู่ทั้งหมด 98 ขบวน ขบวนละ 4 ตู้ รวมทั้งหมด 392 ตู้ ออกให้บริการเพื่อรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเร่งด่วนที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ทำให้การรักษาระยะห่างระหว่างกันไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างเคร่งครัด แต่สำหรับการเดินทางที่ไม่ใช่ในช่วงเวลาเร่งด่วน ผู้โดยสารยังคงสามารถรักษาระยะห่างในการเดินทางได้ในระดับปกติ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม เป็นต้นไป

รถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร โดย พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. จัดส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจเข้ามาทำงาน ร่วมกับเจ้าหน้าที่บีทีเอส เพื่อช่วยจัดระเบียบ และอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการใน 17​ สถานีหลัก​ ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ในช่วงเวลาเร่งด่วนช่วงเช้าและเย็นใ ห้สามารถรักษาระยะห่าง และไม่เข้ามากระจุกตัวภายในขบวนรถ,​ บริเวณชั้นชานชาลา และพื้นที่บริเวณชั้นจำหน่ายตั๋วมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้มีผู้โดยสารตกค้างอยู่บริเวณพื้นที่รอบนอกสถานีมากขึ้น

“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือผู้ใช้บริการให้เผื่อเวลาในการเดินทางให้มากขึ้น เพราะจำเป็นต้องใช้เวลามากขึ้น ในการจัดระเบียบการเข้าใช้บริการ นอกจากนี้แม้บีทีเอสจะนำขบวนรถที่มีอยู่ออกวิ่งให้บริการทั้งหมด แต่การจัดที่นั่งให้มีระยะห่างภายในขบวน หากปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจะทำให้ความจุผู้โดยสารแต่ละขบวนลดลงเหลือเพียง 1​ ใน​ 4 ของจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้ในภาวะปกติเท่านั้น”

บีทีเอส สนับสนุนแนวคิดที่ให้มีการบริหารจัดการเวลาการทำงานใหม่ โดยขยับหรือเหลื่อมเวลาในการทำงานของราชการ และบริษัทเอกชน โดยให้เข้าทำงานหรือเลิกงานได้เร็วขึ้นหรือช้าลงกว่าในภาวะปกติ รวมทั้งแนะนำให้ขยับวันหยุดงานเป็นวันศุกร์ หรือวันอื่นๆ​ด้วยเพื่อกระจายการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อลดความเสี่ยง และความแออัดในการเดินทางของประชาชน ในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค บีทีเอสยังมีข้อแนะนำสำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้า โดยก่อนเข้าระบบรถไฟฟ้าให้ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่บีทีเอสเตรียมไว้ให้บริเวณโต๊ะตรวจการหน้าทางเข้า – ออกทุกสถานี และต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้ง รวมทั้งในระหว่างเดินทางหรืออยู่ในขบวนรถ พยายามหลีกเลี่ยงการนำมือขึ้นมาจับใบหน้า โดยเฉพาะ จมูก ปากและตา โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ที่มีจำนวนผู้โดยสารหนาแน่น แนะนำให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยกันภายในขบวนรถ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค และก่อนออกจากระบบรถไฟฟ้าอย่าลืมกดล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่มีจัดไว้ให้ทุกสถานี ทุกครั้ง

สำหรับผู้ที่รู้สึกไม่สบายหรือมีไข้ขอความร่วมมืองดใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะผู้โดยสารที่มีอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียส รถไฟฟ้าบีทีเอสขอสงวนสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้เข้าระบบรถไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทาง

ทั้งนี้ รถไฟฟ้าบีทีเอส ยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่น และเช็ดทำความสะอาดภายในขบวนรถไฟฟ้า และจุดสัมผัสสาธารณะภายในสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า2019​ (โควิด-19) อย่างต่อเนื่อง

ซีพีเอฟ ส่งกำลังใจบุคคลากรทางแพทย์ มอบอาหารปลอดภัยให้รพ. 183 แห่งทั่วไทย

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัย เพื่อดูแลสุขภาพของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลของรัฐที่ทำการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ตามโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัย โควิด-19” ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดส่งอาหารให้กับโรงพยาบาลในต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น 183 แห่งทั่วประเทศ

ล่าสุด ผลิตภัณฑ์อาหารส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว 15 แห่ง ตามภูมิภาคต่างๆ ดังนี้

  • ภาคกลาง
    • รพ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
    • รพ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
    • รพ.ประชาธิปัตย์ จ.ปทุมธานี
    • รพ.เสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สระบุรี
    • รพ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
  • ภาคตะวันออก
    • รพ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
    • รพ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว
    • รพ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา
    • รพ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
  • ภาคตะวันตก
    • รพ.พหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • รพ.50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จ.อุบลราชธานี
    • รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี
    • รพ.นาด้วง จ.เลย
  • ภาคใต้
    • รพ.ควนเนียง จ.สงขลา
    • รพ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช

โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัย โควิด-19” ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของรัฐ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในความเสียสละ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ต่อสู้กับวิกฤติในครั้งนี้ โดยได้จัดเตรียมอาหารที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้คุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มีกำลังกายและกำลังใจ โดยเริ่มจากในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และขยายผลต่อเนื่องไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารจะถูกจัดส่งไปยังโรงพยาบาลผ่านร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท ที่มีสาขาอยู่ในทั่วทุกภูมิภาคของไทย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายการสนับสนุนอาหารให้ครอบคลุมไปยังครอบครัวของแพทย์ และพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 30,000 ครอบครัว ในโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวหมอ-พยาบาล” เพื่อให้ทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ไร้กังวล โดยจะจัดส่งอาหารให้ถึงบ้าน ให้คนในครอบครัวของแพทย์และพยาบาลได้รับประทานอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการ (โครงการฯเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2563 และอยู่ในระหว่างดำเนินการจัดส่งอาหารอย่างต่อเนื่อง) ซีพีเอฟ ยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างคนไทยก้าวฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน./