Home Blog Page 4

พม. จับมือ AIS ACADEMY เปิดเวทีภารกิจคิดเผื่อ “JUMP THAILAND HACKATHON 2024” โชว์ 15 นวัตกรรมฝีมือคนรุ่นใหม่ สร้างโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลทีมชนะเลิศการแข่งขัน ภารกิจคิดเผื่อ “JUMP THAILAND HACKATHON 2024” กับโจทย์ “เราจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างไร?” ตอกย้ำ ภารกิจคิดเผื่อ ที่เน้นย้ำว่า นวัตกรรมคือโอกาสแห่งการสร้างความเท่าเทียมของคนไทย พร้อมประกาศผลการตัดสิน โดยทีมชนะเลิศที่จะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท คือ ทีม PATHSENSE และรางวัลที่ 2 คือทีม Autism ส่วนที่ 3 คือ ทีมหลานม่า ที่นอกจากจะได้รับรางวัลมูลค่ารวม 200,000 บาท ยังจะได้รับโอกาสในการร่วมงานกับ AIS หลังจบการศึกษา และการพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นจริงร่วมกับกระทรวง พม. ต่อไป

นายอนุกูล กล่าวว่า “ปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับ “วิกฤตประชากร” โครงสร้างประชากรของไทยมีการเปลี่ยนแปลง เด็กเกิดน้อยลง วัยแรงงานแบกรับภาระการดูแลเพิ่มมากขึ้น การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 13.06 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งกระทรวง พม. ได้มีนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย 5 ข้อเสนอ ได้แก่ 1) เสริมพลังวัยทำงาน 2) เพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน 3) สร้างพลังผู้สูงอายุ 4) เพิ่มโอกาสและสร้างเสริมคุณค่าคนพิการ และ 5) สร้างระบบนิเวศที่เหมาะสม เพื่อความมั่นคงของครอบครัว ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และ AIS ในครั้งนี้ นับเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร โดยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสะดวก และเท่าเทียมกับคนทั่วไป

กระทรวง พม. เชื่ออย่างยิ่งว่า ไอเดียและนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่ที่ได้จากโครงการครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากถูกต่อยอดพัฒนามาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างยั่งยืน ทั้งในมิติของการนำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวก และยกระดับศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยและคนพิการ รวมถึงในมิติของการออกแบบนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีเครื่องมือในการทำงานที่มีประสิทธิภาพสามารถเชื่อมต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ตรงเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

นายอนุกูล ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับทั้ง 15 ทีมที่ผ่านเข้ารอบในครั้งนี้ นับว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และยิ่งรู้สึกดีใจ ที่เห็นคนรุ่นใหม่ มีเวทีแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ และยังเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆ ตัวพวกเราทั้งสิ้น”

นางสาวกานติมา กล่าวเสริมว่า “หลังจากเปิดตัวโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 กับโจทย์ “เราจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างไร?” ร่วมกับ กระทรวง พม. ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีนิสิต นักศึกษา ให้ความสนใจนำเสนอไอเดียอย่างมากมาย ซึ่งเมื่อทีมพนักงาน AIS ได้ลงไปร่วมพัฒนาไอเดียด้วยการนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและแพล็ตฟอร์มเข้าไปผสมผสานแล้ว ทำให้วันนี้เราได้มาถึง 15 ไอเดีย ที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการนำไปต่อยอดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มคนพิการ และผู้สูงอายุได้อย่างตอบโจทย์”

“AIS เชื่อมั่นในศักยภาพคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะทางดิจิทัลและจิตสาธารณะ “Jump Thailand” เป็นโครงการที่ AIS Academy เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2018 เพื่อทำงานด้านส่งเสริมศักยภาพตลอดจนต่อองค์ความรู้ให้คนไทย ในครั้งนี้เราเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ นิสิต นักศึกษา ร่วมกับพนักงาน AIS ได้นำเสนอโครงการที่หลากหลาย โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มาสร้างประโยชน์ในการลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต แก้วิกฤติประชากร ที่น่าปลาบปลื้มใจคือเราได้เห็นความสามารถของน้องๆ นิสิต นักศึกษาในการสร้างสรรค์ นวัตกรรม เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พี่น้องกลุ่มเปราะบาง เปรียบเสมือนทุกท่านเป็น ไม้ขีดไฟก้านเล็กๆ ที่เราเชื่อว่าไม้ขีดไฟก้านเล็กๆทุกก้านนี้จะร่วมกันสร้างความสว่างไสว และจะเป็นแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดให้เกิดการส่งต่อให้ประเทศด้วยการคิดเผื่อแผ่กัน การทำงานจากทุกภาคเพื่อประชาชน จากนวัตกรรม ทักษะความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เราเชื่อว่าทั้ง 15 ไอเดีย จะเป็นแรงบันดาลใจ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับกลไกการดูแลประชาชน จากนวัตกรรม ทักษะความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างยั่งยืน

สำหรับ 3 ทีมที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ประกอบด้วย

รางวัลที่ 1 : ทีม PathSense จากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล พัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเอง ผ่านกระเป๋าสะพายข้างซึ่งมีการติดตั้งกล้อง AI เอาไว้ที่สายกระเป๋า ตัวกล้องมีความสามารถในการตรวจจับวัตถุและสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น บันได ประตู กำแพง และอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของผู้สวมใส่ แล้วทำการแจ้งแก่ ผู้สวมใส่ผ่านทางหูฟังหรือลำโพงโทรศัพท์

รางวัลที่ 2 : ทีม AUTISM จากนิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร พัฒนานวัตกรรมแพลตฟอร์มสื่อสารการทำงานสำหรับผู้มีภาวะออทิสติก (Autism spectrum disorder: ASD) เพื่อสร้างอาชีพไปพร้อมกับการบำบัด โดยนำอาการของผู้มีภาวะออทิสติก มาปรับใช้ร่วมกับ AI ทำให้การสื่อสารในการทำงานระหว่างผู้มีภาวะออทิสติกด้วยกันเอง และผู้มีภาวะออทิสติกกับบุคคลทั่วไปเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รางวัลที่ 3 : ทีม หลานม่า จากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พัฒนานวัตกรรมเข็มขัดตรวจจับการล้มกระตุ้น AirBag พร้อมติดต่อญาติ หรือรถโรงพยาบาล ผ่านสัญญาณ Cellular , DevioBeacon ของ LINE OA

“ทุกธุรกิจจะเติบโตอย่างแข็งแรงมั่นคงได้ยาก หากสังคมภายนอกยังมีความท้าทาย AIS เราจึงเชื่อในเรื่องของการเติบโตแบบร่วมสร้างและสำนึกสาธารณะ การสร้างโครงการ ภารกิจคิดเผื่อ ที่เปิดพื้นที่ให้กับพนักงานในการส่งต่อความรู้ สร้างอาชีพกับประชาชน และการทำงานร่วมกับภาครัฐในการพัฒนาสังคม ต้องขอขอบพระคุณ กระทรวง พม. ที่ให้โอกาส AIS ได้เข้าไปทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้วยกัน โดยยืนยันที่จะเดินหน้าตามเจตนารมณ์นี้อย่างต่อเนื่อง เพราะงานลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการแข่งขันเพื่อวัดขีดความสามารถของนิสิต นักศึกษา ที่สนใจเรื่องนวัตกรรมเพียงเท่านั้น แต่เป็นโครงการต้นแบบที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มคนพิการให้มีศักยภาพในการดูแลตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งสามารถดูข้อมูลรายละเอียดของ 15 ไอเดีย ได้ที่ www.jumpthailand.com หรือ https://www.facebook.com/AISJumpThailand เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง AIS Academy และ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” นางสาวกานติมา กล่าวย้ำในตอนท้าย

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ รพ.ในเครือ BDMS ทั่วประเทศ มอบสิทธิประโยชน์และความมั่นใจเรื่องสุขภาพให้ลูกค้า “MTL Health Buddy”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า     เพื่อเป็นการสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต โดยโครงการ “MTL Health Buddy” จับมือ โรงพยาบาลในเครือ BDMS ทั่วประเทศ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ   กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท ร่วมเติมเต็มความอุ่นใจด้วยการมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy  ประกอบด้วย  บริการให้คำแนะนำและปรึกษาโดยแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญทางโทรศัพท์  และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิเช่น ส่วนลดค่าห้อง  ค่ายา บริการขึ้นเยี่ยม และรับของที่ระลึกจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รถส่งผู้ป่วยกลับบ้าน เป็นต้น   รวมถึงโปรโมชันแพ็กเกจสุขภาพราคาพิเศษเพื่อการรักษาเฉพาะทาง 4 ด้าน ได้แก่ แพ็กเกจรักษาเกี่ยวกับหัวใจ แพ็กเกจสำหรับแม่และเด็ก แพ็กเกจสำหรับคุณผู้ชาย และแพ็กเกจการรักษากระดูกและข้อ

โดยสิทธิประโยชน์ทั้งหมดข้างต้น สามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567  ทั้งนี้ ลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ที่สนใจใช้บริการดังกล่าวเพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. ยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่  MTL Health Buddy แจ้งความประสงค์ในการใช้บริการและรับบริการตามสิทธิประโยชน์พิเศษต่อไป

“เมืองไทยประกันชีวิต เรายังคงเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี  ภายใต้นโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) ที่พร้อมก้าวเคียงคู่ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต” นายสาระ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการ MTL Health Buddy ดูแลครบเครื่อง เรื่องสุขภาพ ผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร เป็นบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทุกท่าน ทั้งประกันรายบุคคล และประกันกลุ่ม สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค พร้อมกับสิทธิพิเศษอื่นๆอีกมากมาย ผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ  เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่  www.muangthai.co.th  หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766

เคทีซี ผนึก สกมช. เปิดเวที KTC FIT Talk #12 ถก“อนาคตภัยไซเบอร์ กับอนาคตการป้องปราบ”

เคทีซีจับมือสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เปิดเวทีเสวนา เตือนภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ “อนาคตภัยไซเบอร์ กับอนาคตการป้องปราบ” สร้างการตระหนักรู้-รับมือ-ไม่ตกเป็นเหยื่อ ติดอาวุธทางความคิดให้คนไทยตั้งสติ รับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกรรมการเงินบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในผู้สูงอายุ เผยกลโกงมิจฉาชีพรูปแบบใหม่เป็นกรณีศึกษา พร้อมแนะวิธีสังเกต เทคนิคป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อและการแก้ไข

            นายไรวินทร์  วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่าเคทีซีให้ความสำคัญกับการศึกษาและพัฒนาระบบบริหารการป้องกันภัยทุจริตให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นสถาบันการเงินรายแรกในเอเชีย แปซิฟิก ที่ได้รับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของข้อมูลบัตรเครดิต (PCI DSS) จากสถาบันรับรองมาตรฐานแห่งชาติของประเทศอังกฤษ BSI (British Standards Institution) และพร้อมจะสนับสนุนให้สมาชิกและผู้บริโภคได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ในเบื้องต้นไปด้วยกัน เราจึงได้ร่วมมือกับองค์กรหน่วยงานต่างๆ จัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ได้ร่วมกับสกมช. เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และอัพเดทภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับคนไทย นอกเหนือจากการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเคทีซีครอบคลุมทั้งระบบ”

“โดยปัจจุบันแนวโน้มการทุจริตจากธุรกรรมที่ไม่ใช้บัตร (card not present) หรือใช้โปรแกรมสุ่มเลขบัตรไปทำธุรกรรมการเงิน (Bin Attack) และการที่ข้อมูลรั่วไหล (Data Compromise) ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคทีซีจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” (KTC Digital Credit Card) เพื่อยกระดับความปลอดภัยขั้นกว่าในการใช้บัตรเครดิตให้กับสมาชิกเคทีซี ซึ่งเป็นการป้องกันการทุจริตประเภท card not present หรือ Data Compromise”

“ภัยไซเบอร์เป็นภัยใกล้ตัวและลุกลามเข้าถึงกลุ่มเปราะบางมากขึ้น โดยใช้ความหวาดกลัวในการล่อลวง การเตรียมตัวและการป้องกันภัยด้านไซเบอร์ในวันนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนทุกกลุ่มต้องเรียนรู้อย่างเท่าทัน เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อตนเองและคนรอบข้าง โดยรูปแบบของภัยไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบันคือ Social Engineering รูปแบบต่างๆ  และ Remote Control ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้าถึงระบบไอโอเอส (iOS) ได้เช่นเดียวกับแอนดรอยด์ (Android)  และแนวโน้มในการหลอกโอนเงินมีความเสียหายที่สูงกว่าเคส Remote Control โดยมิจฉาชีพจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ”

“ภัยจาก Social Engineering มีหลายรูปแบบ เป็นวิธีการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งหวังให้เหยื่อทำตามคำสั่งของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิคการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างของเทคนิค Social Engineering ที่พบมากที่สุดในปัจจุบันคือ 1) Phishing คือการส่งอีเมลปลอมเพื่อหลอกให้ผู้รับกดลิงค์ ใช้เทคนิคหลอกลวงเหยื่อเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ซึ่งเป้าหมายของการโจมตีด้วย Phishing คือให้กรอกข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ โดยเราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ คือ ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัวผ่านทางอีเมลหรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบ URL หรือที่มาของข้อความนั้นๆ อยู่เสมอ  2) Vishing คือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้เสียงในการสื่อสาร โดยมักจะติดต่อผ่านโทรศัพท์เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลบัญชีที่สำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัส OTP หรือข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งนำไปสู่การถูก Remote Access เป็นต้น  3) Smishing คือการใช้ข้อความที่ถูกส่งผ่าน SMS (Short Message Service) เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้ข้อมูลส่วนตัว หรือคลิกลิงก์ที่อาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ควรระวังไม่คลิกลิงค์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ปัจจุบันธนาคารไม่มีนโยบายแนบลิงค์ผ่าน SMS หรือส่ง SMS ที่มีเนื้อหาให้กดแลกคะแนนด่วนเพื่อแลกของรางวัล เป็นต้น”

            นายนพรัตน์ สุริยา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายป้องกันทุจริตบัตรเครดิตและร้านค้า “เคทีซี” กล่าวว่า “ปัจจุบันภัยไซเบอร์ที่เกิดจากการรีโมท คอนโทรล (Remote Control) ที่มิจฉาชีพหลอกให้กดลิงค์ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เริ่มมีแนวโน้มลดลง แต่การถูกแก๊งค์คอลเซ็นต์เตอร์หลอกให้โอนเงินโดยตรง กลับมีแนวโน้มที่สูงขึ้นและความเสียหายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเปราะบางและถูกหลอกได้ง่าย ใช้วิธีการล่อลวงเจ้าของบัญชีให้เกิดความหวาดกลัวว่ามีส่วนในการฟอกเงินโดยแอบอ้างมา

จากสถานีตำรวจภูธร (สภอ.) ต่างๆ หรือติดต่อจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และมีพัสดุต้องสงสัยหรือถูกนำชื่อไปเปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือที่พัวพันกับขบวนการฟอกเงิน เป็นต้น”

               “กรณีรีโมท คอนโทรล ที่ผ่านมา มิจฉาชีพมักจะหลอกผู้เสียหายให้คลิกลิงค์และดาวน์โหลดแอปฯ ในระบบแอนดรอยด์ (Android) เป็นหลัก เพื่อจะเข้าควบคุมมือถือ (Remote Control) ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ แต่ปัจจุบันมิจฉาชีพสามารถหลอกลวงเหยื่อในระบบ iOS ผ่านโทรศัพท์มือถือ iPhone ได้เช่นกัน”

               “การป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ยังคงต้องย้ำว่า ควรเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคนและสามารถป้องกันได้ง่ายๆ  ดังนี้ 1) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันของบริษัทหรือหน่วยงานใดๆ  ให้ติดตั้งเองผ่าน Official Store เท่านั้น ห้ามกดผ่านลิงค์เด็ดขาด เพราะแอปฯ ปลอมเหมือนจริงมาก  2) หากมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาให้กดลิงค์ดาวน์โหลดหรือติดตั้งแอปฯ และแจ้งว่าต้องทำตามขั้นตอน หรือแจ้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงินใดๆ  ให้สงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ รวมถึงให้ติดต่อกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดที่ติดต่อมาจากเบอร์โทรศัพท์หน้าเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ  เพื่อตรวจสอบและยืนยัน  3) หากผิดสังเกตว่าถูกรีโมท (Remote)  หรือมีการลงแอปฯ ที่ต้องสงสัย ให้ตัดการเชื่อมต่อ พยายามปิดแอปฯ (Force Shutdown) และดำเนินการล้างเครื่องทันที (Factory Reset) เนื่องจากมีมัลแวร์ (Malware) แฝงอยู่ในเครื่อง ซึ่งผู้ทุจริตจะยังสามารถรีโมทต่อเมื่อไหร่ก็ได้  4) การตั้งรหัสแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ควรตั้งค่าให้แตกต่างกัน และแยกจากแอปฯ ประเภทอื่น”

“สำหรับสมาชิกเคทีซี เราให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า เพื่อให้สมาชิกทำธุรกรรมการเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และแน่นอนว่าการป้องกันภัยจากการทุจริตต่างๆ จะเกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ถ้าสมาชิกสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกับเคทีซี แนะนำให้สมาชิกเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล ด้วยการดาวน์โหลดและใช้แอปฯ “KTC Mobile” ซึ่งมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ความสะดวกในการใช้งานและฟังก์ชันป้องกันความปลอดภัย อาทิ ระบบตั้งเตือนการใช้จ่ายผ่านบัตรทุกรายการ  กำหนดยอดใช้จ่ายที่ต้องการ ตั้งเตือนก่อนวันชำระ รวมทั้งบริการที่ลูกค้าสามารถตั้งค่าทำรายการได้ด้วยตนเอง เช่น การอายัดบัตรชั่วคราว การกำหนดวงเงินและการขอวงเงินชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอยากย้ำเตือนให้สมาชิกระมัดระวังการแจ้งรหัสให้กับบุคคลอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริตเข้าถึงบัญชี”

พลอากาศตรี จเด็ด  คูหะก้องกิจ  ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัย      ไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เผยว่า “สกมช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในภาพรวมให้กับประเทศไทย ได้มีการติดตามสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ได้แก่ หน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ และกลุ่มที่ 2 ได้แก่ คนไทยที่มีการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน”

“โดยในกลุ่มที่ 1 พบว่าพ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา มีการโจมตีทางไซเบอร์ต่อข้อมูลและระบบสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,808 เหตุการณ์ โดยอันดับ 1 ได้แก่ การแฮ็คเข้าเว็บไซต์ (Hacked Websites) คิดเป็น 59 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 2 ได้แก่ เว็บไซต์ปลอม (Fake Websites) คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 3 ได้แก่ การหลอกลวงการเงิน (Finance-related gambling) คิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขาดความเข้าใจในการออกแบบระบบสารสนเทศอย่างมั่นคงปลอดภัย (Secure software development) รวมถึงการขาดการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Protection and incident response) อย่างถูกต้อง”

“ในกลุ่มที่ 2 พบว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงคนไทยอย่างต่อเนี่อง โดย สกมช. ได้มีการติดตามกลุ่มมิจฉาชีพที่มีการใช้โซเชียล มีเดีย เป็นสื่อกลางในการหลอกลวงคนไทย ได้แก่ การหลอกให้ลงทุน หลอกให้แจ้งความออนไลน์ การชักจูงให้เล่นการพนันออนไลน์ รวมถึงการหลอกลวงโดยอ้างว่าเป็นหน่วยงานหรือสถาบันการเงินด้วย ทั้งนี้ สกมช. ได้มีการทำงานเชิงรุกร่วมกับแพลทฟอร์มโซเชียล มีเดียหลายราย รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้ให้บริการโทรคมนาคมมาโดยตลอด ทำให้สามารถปิดกั้นกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ”

“ในส่วนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันการเงินนั้น ตลอดปีที่ผ่านมา สกมช. ได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์ปลอมเป็นสถาบันการเงินเพื่อหลอกลวงคนไทย ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ให้บริการโดเมนเนม เพื่อจัดการกับเว็บไซต์ปลอมดังกล่าว มิให้สามารถใช้หลอกลวงคนไทยได้อีกต่อไป ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ทำให้สามารถดำเนินการกับเว็บไซต์ปลอมได้มากกว่า 749 รายการ เนื่องจากมิจฉาชีพสามารถสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นงานที่เราจะต้องติดตามและจัดการกับเว็บไซต์ปลอมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ควบคู่ไปกับการยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย     ไซเบอร์ตาม พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ให้กับสถาบันการเงิน โดยทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สมาคมธนาคารไทย Thailand Banking Sector CERT และ Thailand Telecommunication Sector CERT โดย สกมช. จะเป็นหน่วยงานกลางที่จัดทำข้อกำหนดขั้นต่ำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (National Cybersecurity Baseline) และหน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล (Regulator) จะกำกับดูแลให้หน่วยงานภายใต้การกำกับดำเนินการตามข้อกำหนดขั้นต่ำดังกล่าว รวมถึงมีการฝึกซ้อมและตรวจประเมินทุกปี ให้กับหน่วยงานเหล่านั้นด้วย”

“สุดท้ายนี้อยากฝากถึงคนไทยทุกคนในการป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพและภัยไซเบอร์ ด้วยหลัก 3 ไม่ คือ ไม่เชื่อ ไม่ทำ        ไม่โดน โดยเฉพาะในส่วนแรกคือ ต้องไม่เชื่อใครง่ายๆ เช่น ไม่เชื่อเรื่องการซื้อขายออนไลน์ที่ดีเกินจริงหรือถูกกว่าราคาตลาด ไม่เชื่อว่าจะมีบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่สูงเกินจริง และไม่เชื่อว่าจะมีหน่วยงานใดติดต่อไปหาทางโทรศัพท์หรือแอดไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ หากตกเป็นเหยื่อแล้ว ขอให้รีบติดต่อธนาคารเพื่ออายัดเงินเป็นลำดับแรก ก่อนจะติดต่อไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) หรือ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 รวมทั้งหากพบการหลอกลวงออนไลน์ดังที่กล่าวมาแล้ว สามารถติดต่อ สกมช. ผ่านช่องทางต่างๆ ในเว็บไซต์ ncsa.or.th เพื่อร่วมกันจัดการกับมิจฉาชีพต่อไป”

‘อัญชิสา ธนโชติจิรวณิชย์’ นักธุรกิจยุคใหม่ ยึดแฟรนไชส์ ‘ห้าดาว’ สร้างอาชีพ สร้างรายได้มั่นคง

อาชีพอิสระกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้ หลายคนไม่อยากทำงานบริษัท ไม่อยากทำงานประจำ และอยากมีอาชีพที่เป็นนายตัวเอง เฟิร์น – อัญชิสา ธนโชติจิรวณิชย์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ภายหลังเรียนจบจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เธอตัดสินใจไม่สมัครงานกับบริษัทเหมือนกับเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน

เฟิร์นเลือกทำ “แฟรนไชส์ห้าดาว” ธุรกิจที่เธอเห็นความสำเร็จจากคุณแม่ ที่เป็นแฟรนไชส์ห้าดาวเปิดสาขาที่บิ๊กซีราชบุรี อาชีพนี้ทำให้มีรายได้พอเลี้ยงดูครอบครัวมาโดยตลอด ประกอบกับตนเองมีโอกาสได้ช่วยคุณแม่ขายของมาตั้งแต่ต้น ทำให้ชอบงานด้านนี้ และต้องการมีร้านของตัวเองบ้าง เธอปรึกษากับพ่อแม่เพื่อขอเปิดร้านแห่งใหม่ที่หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในตัวเมืองราชบุรี เมื่อปี 2564 ทำร้านในรูปแบบกลาสเฮ้าส์ กิจการเป็นไปได้ด้วยดี จากนั้นเธอเห็นว่ามีทำเลใหม่ในเขตกรุงเทพฯ ที่ตลาดวังหลัง ศิริราช ซึ่งเป็นทำเลที่ดีมาก บริเวณนั้นมีทั้งวัด โรงพยาบาล ท่าเรือ และชุมชนขนาดใหญ่ จึงทำร้านสาขาใหม่ยอดขายที่สาขานี้เป็นไปได้ดี และเมื่อทีมงานห้าดาวเสนอทำเลใหม่ที่โรงพยาบาลศาลายา จ.นครปฐม เฟิร์นเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ จึงเริ่มทำร้านสาขาล่าสุดเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

คุณเฟิร์น – อัญชิสา ธนโชติจิรวณิชย์

“ปัจจุบันมีแฟรนไชส์มากมายให้เลือก เราเลือก “ห้าดาว” เพราะตอบโจทย์ความต้องการของเรา เป็นแบรนด์อันดับต้นๆที่คนคิดจะลงทุน เนื่องจากห้าดาวอยู่คู่คนไทยมานานถึง 40 ปี แล้ว แบรนด์เป็นที่รู้จัก มีฐานลูกค้าที่ชื่นชอบในตัวแบรนด์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องโฆษณามาก สินค้าก็มีคุณภาพ มีมาตรฐาน รสชาติอร่อย และหลากหลาย สินค้าห้าดาวแม้จะไม่ใช่ช่วงโปรโมชันผู้บริโภคยังรู้สึกถึงความค่าคุ้มราคา คือมีความ ‘คุ้มค่าเป็นปกติ’ ตัวเราเองก็รู้จักกับห้าดาวมาตั้งแต่ก่อนที่แม่จะทำแฟรนไชส์นี้ ยิ่งแม่ทำร้านก็ยิ่งรู้จักแบรนด์มากขึ้น รู้ขั้นตอน วิธีการ กระบวนการบริหารจัดการทั้งหมดเป็นอย่างดี จึงตัดสินใจยึดแฟรนไชส์ห้าดาวเป็นธุรกิจสร้างอาชีพ” เฟิร์นกล่าว

เฟิร์นบอกว่าก่อนที่จะเริ่มทำร้าน เธอต้องเข้าฝึกอบรมเป็นเวลา 5 วัน เรียนรู้ทั้งเรื่องเทคนิค วิธีการ กระบวนการจัดการ ขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์ตามหลักที่บริษัทกำหนด จนถึงวิธีการจำหน่าย ซึ่งทั้งหมดเธอมีพื้นฐานจากการช่วยแม่ทำร้านตั้งแต่แรก ทุกอย่างที่ได้ฝึกอบรมเหมือนกับที่แม่เคยสอนไว้ จึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างเร็วและถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง ขณะเดียวกัน หลังเปิดร้านยังมีทีมงานห้าดาวที่เป็นเสมือนเพื่อนสนับสนุนหลังบ้านที่ดีมาก คอยเข้ามาดูแลสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบมาตรฐานและแนะนำเทคนิคต่างๆ เพื่อพัฒนาร้านให้ดียิ่งขึ้น

“ที่ตัดสินใจทำแฟรนไชส์ก็เพราะเป็นแบรนด์นี้ โดยมองในมุมมองของลูกค้าก่อน ว่าเขาขายอะไร มีสินค้าอะไร จึงเลือกที่จะลงทุน จากนั้นพวกบริการหลังการขาย และทีมงานหลังบ้านเป็นส่วนซัพพอร์ตเพิ่มเติม ห้าดาวถือเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างอาชีพจริงๆ เมื่อลงทุนแล้วสามารถเลี้ยงตัวเองได้ เป็นอาชีพมั่งคงได้ ยิ่งทางห้าดาวมี แคมเปญ ‘ลดรายจ่ายคนซื้อ เพิ่มรายได้คนขาย’ แม้จะเป็นช่วงโปรโมชั่นลดราคาสินค้าให้ผู้บริโภค แต่ตัวแฟรนไชส์เองยังได้กำไรเท่ากับช่วงปกติ ทำให้คนขายอยู่ได้ คนซื้อก็มีกำลังซื้อ ซึ่งเหมาะกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน เรียกว่า 3 ประโยชน์ คือประโยชน์ของผู้บริโภค ประโยชน์ของแฟรนไชส์ และเป็นประโยชน์ต่อบริษัท นอกจากนี้ ทีมงานของเราก็มีอาชีพที่ดี มีรายได้เลี้ยงตัวเองและสามารถจุนเจือครอบครัวได้” เฟิร์นกล่าวด้วยความภูมิใจ

แฟรนไชส์ห้าดาว ถือเป็นเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สนับสนุนให้คนไทยได้เป็นเถ้าแก่ ด้วยการมีกิจการเป็นของตนเอง ด้วยการลงทุนไม่สูง เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษกิจฐานรากด้วยการสร้างงานสร้างอาชีพที่มั่นคง สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสร้างงานสร้างอาชีพ ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.fivestars-allfranchises.com หรือสอบถามที่ โทร. 02-800-8000

เซเว่น อีเลฟเว่น จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2023” เชิดชูเกียรติ 26 SME ศักยภาพ

“เซเว่น อีเลฟเว่น” ผนึก 3 พันธมิตรระดับประเทศ “กสอ.-สสว.-ตลาดหลักทรัพย์ฯ” จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2023” เพื่อร่วมเชิดชูเกียรติ SME ไทยศักยภาพ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยมี SME ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 26 ราย จาก 10 ประเภทรางวัล ชี้สินค้าเพื่อสุขภาพ-ความงามมาแรง เผยแบรนด์ “มหานคร-ฮูเร่-ด็อกเตอร์ อินโนวาเท็กซ์-หนุย คอลลาเจน-เมอร์ซี่-รัชชา ไลฟ์” สร้างผลงานโดดเด่นคว้ารางวัล SME ดาวรุ่ง พร้อมได้จัดบรรยายพิเศษด้าน AI  เพื่อติดอาวุธทางความรู้ให้ SME ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก AI สู่การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมด้วย 3 หน่วยงานพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2023” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เพื่อเชิดชู SME ที่มีศักยภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้กับ SME ทุกกลุ่มสินค้า ในการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจและยกระดับคุณภาพสินค้าของตนเอง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยทางคณะผู้จัดงานได้ร่วมกันพิจารณา SME ที่โดดเด่นผ่านผลงาน 3 ปีล่าสุด เพื่อเฟ้นหา SME ศักยภาพ รับรางวัลจำนวน 26 ราย จากประเภทรางวัลทั้งสิ้น 10 ประเภท

“ปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ทางคณะผู้จัดงานและกรรมการตัดสินได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ SME ในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างน่าภาคภูมิใจในทุกๆ รางวัล โดยเฉพาะรางวัล SME ดาวรุ่ง ที่ปีนี้มี SME ได้รับรางวัลมากถึง 6 ราย มากกว่าปี 2022 ที่มีผู้ได้รับรางวัล 3 ราย โดย SME จัดอยู่ในกลุ่มขนมหวาน สินค้าเพื่อสุขภาพ ความงาม ภายใต้แบรนด์ มหานคร, ฮูเร่, ด็อกเตอร์ อินโนวาเท็กซ์, หนุย คอลลาเจน, เมอร์ซี่, และรัชชา ไลฟ์ ซึ่งต้องยอมรับว่าทั้ง 6 แบรนด์สินค้ามีความโดดเด่นอย่างมาก และสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างแข็งแกร่ง ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า SME ไทยมีพัฒนาการรอบด้าน ทั้งด้านตัวสินค้า ด้านการตลาด ด้านการปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง และมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง แม้จะเข้ามาจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ ได้เพียงไม่นาน แต่สามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก จนก้าวสู่  SME ดาวรุ่งตามเกณฑ์การตัดสิน ถือเป็นสัญญาณการเติบโตที่ดีของ SME ไทย ซึ่งเป็นฐานรากระบบเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ เซเว่น อีเลฟเว่น และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 3 ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจSME มาตลอด จึงอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเชิดชูเกียรติ SME ที่สามารถยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า ด้วยความเชื่อมั่นว่ารางวัลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และต่อยอดโอกาสให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกประเภท ขณะเดียวกัน ผู้ได้รับรางวัลก็จะเป็นต้นแบบให้แก่เอสเอ็มอีรายอื่นๆ ในการพัฒนาสินค้าและธุรกิจของตนเองให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

ภายในงานยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าของผู้ที่ได้รับรางวัล พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Generative AI โอกาสใหม่ SME ดันยอดขายด้วยการตลาดดิจิทัล” โดย อ้น-ปฤณ จำเริญพานิชกูรูชื่อดังด้าน ChatGPT และ AI ที่มามอบความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Generative AI แนวทางการใช้ Generative AI สำหรับ SME ในเชิงการตลาด เทคนิคการเขียนคำสั่ง Prompt ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ มุมมองต่อโลกอนาคต-ธุรกิจ-Generative AI เพื่อติดอาวุธทางความรู้ให้ SME ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก AI และนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ สอดรับกับปณิธานองค์กรที่ว่า “Giving and Sharing” ที่บริษัทดำเนินการผ่าน “กลยุทธ์ 3 ให้” ได้แก่ 1.ให้ช่องทางจำหน่าย  2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย

สำหรับรายชื่อเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลทั้ง 10 ประเภท รวมจำนวน 26 รางวัล ประกอบด้วย

1. SME ยั่งยืน ได้แก่

-ผลิตภัณฑ์ขนมหวานวุ้นมะพร้าว “แม่ละมาย” จาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย

-ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลง “คายาริ” จาก บริษัท สถาพร มาเก็ตติ้ง จำกัด

2. SME The Legend ได้แก่

​      -ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ แบรนด์ “เอพลัส” จาก บริษัท ซีแอนด์ดับบลิว อินเตอร์ฟูดส์ จำกัด

3. SME ดาวรุ่ง ได้แก่

​            -ผลิตภัณฑ์ลอดช่องไทย, ขนมครกใบเตย แบรนด์ “มหานคร” จาก บริษัท เป็ปเวลธ์ จำกัด

​            -ผลิตภัณฑ์หนุย คอลลาเจน จาก บริษัท เอ็นยูยูไอ เวิลด์ จำกัด

            -ผลิตภัณฑ์นมโปรตีนสูง แบรนด์ “ฮูเร่” จาก บริษัท ครอสแม็กซ์ รีเทล จำกัด

-ผลิตภัณฑ์คอนแทคเลนส์ แบรนด์ วิ้งค์, ถุงมือทางการแพทย์ แบรนด์ “ด็อกเตอร์ อินโนวาเท็กซ์” จาก บริษัท เอสทีดับบลิว เซลเลอร์ จำกัด

            -ผลิตภัณฑ์วิตซีเซรั่ม แบรนด์ “เมอร์ซี่” จาก บริษัท เมอร์ซี่ สกินแคร์ จำกัด

            -ผลิตภัณฑ์พรีเซรั่มรัชชาวิตซีแอดวานซ์  แบรนด์ “รัชชา ไลฟ์” จาก บริษัท รัชชา ไลฟ์ จำกัด

4. SME Young Entrepreneur ได้แก่

​            -ผลิตภัณฑ์เฉาก๊วย แบรนด์ “ปุ้นแอนด์เปา และ บางช้าง” จาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชลกิจปทานผล

​            -ผลิตภัณฑ์ขนมไทย แบรนด์ “ขนมไทยบ้านทองหยอด” จาก บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด

            -ผลิตภัณฑ์เฉาก๊วย แบรนด์ “จริงใจ” จาก บริษัท ไทย วอล์คกี้ จำกัด        

5. SME สินค้าเกษตร ได้แก่

            –ผลิตภัณฑ์ลำไยคว้านเมล็ด, สับปะรดภูแลพร้อมรับประทาน แบรนด์ “โพลามี่” จาก บริษัท เค.เอส.พรีเมี่ยมโปรดักส์ จำกัด

​            -ผลิตภัณฑ์ผัก ผลไม้สดตามฤดูกาล แบรนด์ “Natural Veggies” จาก บริษัท สุจิตรา ฟู้ด จำกัด

​            -ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร แบรนด์ “ไฟโตแคร์” จาก บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด

6. SME ผู้ประกอบการชุมชน ได้แก่

            –ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร แบรนด์ อ้วยอันโอสถ จาก บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด​

7. SME ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่

​            -ผลิตภัณฑ์กราโนล่าบาร์ แบรนด์ “เกรนเน่ย์” จาก บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด

​            -ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ แบรนด์ “MizuMi” (มิซึมิ) จาก บริษัท มิซึฮาดะ กรุ๊ป จำกัด

​            -ผลิตภัณฑ์แผ่นแปะสิว แบรนด์ “CURESYS” (เคียวร์ซิส) จาก บริษัท ที แอล บี (ไทยแลนด์) จำกัด

8. SME ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้แก่

​            -ผลิตภัณฑ์สลัดโรลแซ่บทูน่า, สลัดโรลแซ่บปูอัด แบรนด์ “อีซี่เฟรซ” จาก บริษัท เออร์บัน ฟาร์มมิ่ง จำกัด

            -ผลิตภัณฑ์ บีไชน์ เนเจอร์ซี อะเซโรลา เชอร์รี่ จาก บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด

9.SME ผู้รับเหมา 

-บริษัท พัฒนโชค ดีไซน์และก่อสร้าง จำกัด

– ห้างหุ้นส่วนจำกัด อาร์.ซี.ดีไซน์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น

– บริษัท พีเจ คอนสตรัคชั่น 2019 จำกัด

10.SME พัฒนาอุปกรณ์ 

– บริษัท ไลท์ติ้ง โซลูชั่น จำกัด

            – บริษัท ส่งเสริมอินเตอร์คูลสเตนเลส จำกัด

“สาระ ล่ำซำ” รับรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2024

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี “THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2024” ประเภท “อุตสาหกรรมประกันชีวิต” โดยเป็นซีอีโอรายแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าวติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปีที่คุณสมบัติถึงพร้อมด้วยวิสัยทัศน์ ความเป็นผู้นำ ความสามารถในการบริหารองค์กร คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กร และต่อยอดไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน พร้อมเป็นแบบอย่างให้กับผู้บริหารหรือซีอีโอรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และสร้างความสำเร็จของตนเองต่อไป ตามแนวคิด “Iconify the Master” หรือ ต้นแบบผู้นำแห่งอนาคต ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี ประธานในพิธีมอบรางวัลดังกล่าว ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

ผู้เลี้ยงหมูเรียกร้องรัฐจี้ DSI คดีหมูเถื่อนไม่คืบ หวั่นคนบงการลอยนวล

เกษตรกรเลี้ยงหมู เรียกร้องภาครัฐตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินคดีหมูเถื่อนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่การสอบสวนไม่คืบหน้าและล่าช้ามากว่า 1 ปี ยิ่งปล่อยคดีไว้นานวัน หวั่นคนบงการหลุดรอดคดีทั้งขบวนการ

นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ กล่าวว่า ผู้เลี้ยงหมูต้องการเห็นภาครัฐเอาจริงเอาจังกับการดำเนินคดีหมูเถื่อน โดยนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลให้ตัดสินลงโทษตามความผิด ตามที่ฝ่ายตำรวจดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว 3 คดี ผู้ต้องหาได้รับโทษทั้งจำทั้งปรับ โดยเฉพาะหลัง DSI รับคดีมาสอบสวนต่อจากกรมศุลกากรมาตั้งแต่ปี 2566 จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดจนถึงที่สุดได้เลย ทั้งที่มีการประกาศรายชื่อบริษัทที่ลักลอบนำเข้า และชื่อนายทุนที่เป็นผู้นำเข้าแล้ว แต่ก็เพียงเรียกมาสอบปากคำแล้วปล่อยตัวไป

ปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้

“เกษตรกรเกรงว่า ยิ่งปล่อยไว้นานวัน ผู้ต้องหาลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจะรอดจากคดีทั้งหมด เพราะการหาหลักฐานหรือการสอบสวนปากคำต่อจากนี้ไปจะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องในขบวนการหลายรายและน่าจะเชื่อมโยงกัน หลักฐานต่างๆอาจถูกทำลาย ไม่สามารถหาได้ โอกาสที่จะสาวไปถึงนายทุนหรือนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้ก็ลดลงด้วย” นายปรีชา กล่าว

ปัจจุบัน DSI รับผิดชอบคดีหมูเถื่อนทั้งหมด 4 กลุ่มคดี ประกอบด้วย 1. คดีหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ ซึ่งเป็นกลุ่มดำเนินคดีมีความคืบหน้าที่สุด โดย DSI เตรียมส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาจำนวน 10 บริษัท 2. คดีหมูเถื่อน 2,385 ใบขน หมูเถื่อนถูกนำออกไปกระจายทั่วประเทศแล้ว คดีนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และเตรียมจะพิจารณาเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพื่อเดินทางไปสอบสวนบริษัทต้นทางหมูเถื่อนในประเทศบราซิล (จะทำให้เสียเวลาอีกประมาณ 1 ปี) 3.คดีลักลอบนำเข้าซากสัตว์อื่น หมู วัว และขาไก่ จำนวน 10,000 ตู้ เกี่ยวข้องกับคนสนิทนักการเมือง มีการฟ้องร้องแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าของคดี และกลุ่มสุดท้ายหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 17 ตู้ พบมีบริษัทนำเข้าทำผิดกฎหมายเพิ่มเติมอีก 5 บริษัท ซึ่ง DSI คงทำการสอบสวนและส่งสำนวนต่อให้ ป.ป.ช. เช่นกัน

นายปรีชา กล่าวว่า หมูเถื่อนเป็นปัจจัยบ่อนทำลายการเลี้ยงหมูของไทยอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหมูเถื่อนซึ่งเป็นหมูที่มีต้นทุนต่ำกว่าไทย 50% จากประเทศบราซิลและประเทศในสหภาพยุโรป ทะลักเข้ามาและกระจายไปทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 70,000 ตัน กดราคาหมูไทยจนผู้เลี้ยงหมูต้องแบกภาระขาดทุนสะสมจนถึงทุกวันนี้ นานกว่า 12 เดือน ถึงขณะนี้ ราคาหมูหน้าฟาร์มที่ปรับขึ้นมาบ้างแต่ยังไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิตของเกษตรกรที่ 80-82 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เกษตรกรขายได้จริง 66-70 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และ DSI ต้องร่วมมือกันตรวจสอบบริษัทนำเข้าเนื้อสัตว์ที่อยู่ภายใต้เขตปลอดอากร (Free Zone) โดยได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าและขาออก ที่นำสินค้าเข้ามาโรงงานหรือพื้นที่ที่ขออนุญาตไว้ และทำการแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้าเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมามีการตรวจพบหมูเถื่อนในพื้นที่ Free Zone จำนวนมาก หลังมีบริษัทนำเข้าถูกจับดำเนินคดีนำเข้าซากสัตว์ วัว ขาไก่และหมูเถื่อน จำนวน 10,000 ตู้ รวมถึงท่าเรือคลองเตย ที่ยังไม่เคยมีการตรวจค้น เพราะหากหมูเถื่อนที่ยังตกค้างถูกระบายออกมาจะฉุดราคาหมูในประเทศให้ตกต่ำอีกครั้ง เป็นการเพิ่มปัญหาขาดทุนสะสมของเกษตรกร และทำลายเศรษฐกิจของประเทศไทย
“เกษตรกรอยากให้ DSI เร่งทำคดีและปราบปรามหมูเถื่อนให้หมดสิ้น นำการผลิตเข้าสู่ภาวะปกติ นำราคาเข้าสู่กลไกตลาดอย่างสมดุล แทนที่จะต้องแบกภาระขาดทุนจนต้องเลิกอาชีพไปจำนวนไม่น้อย หากเป็นแบบนี้ต่อไปจะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของคนไทยในอนาคต” นายปรีชา กล่าว

ล่าสุดจากการเปิดตู้สินค้าตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ยังพบหมูเถื่อนอีก 17 ตู้ และอาจจะยังตกค้างอยู่ที่ท่าเรืออื่นๆ ได้ หากหมูเถื่อนถูกลักลอบออกจากท่าเรือไปจำหน่ายในตลาดได้อีก ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไม่มีวันจบ

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ รพ.ไทยนครินทร์มอบสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า “MTL Health Buddy”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ด้วยการเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ตอกย้ำนโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning)

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต โดยโครงการ “MTL Health Buddy” จับมือ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ร่วมเติมเต็มความอุ่นใจด้วยการมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ประกอบด้วย

· บริการให้คำแนะนำและปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทางโทรศัพท์ ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคกระดูกและข้อ การส่องกล้อง และการปลูกถ่ายไต

· รับส่วนลดกรณีจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ดังนี้

  • อัตราค่าห้องเหมาจ่ายราคาพิเศษ (รวมค่าห้อง, ค่าอาหาร, ค่าบริการพยาบาล, ค่าบริการทั่วไป)
  • รับส่วนลดค่ายา 10% (ยกเว้นยาพิเศษเฉพาะโรค)

· บริการขึ้นเยี่ยม และรับของที่ระลึกจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สำหรับการรักษาแบบผู้ป่วยใน

· บริการรถส่งกลับบ้าน โดยต้องแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลล่วงหน้า 1 วัน (ฟรีภายในระยะทางไม่เกิน 10 ก.ม.แรกจากโรงพยาบาล )

· บริการสำรองที่จอดรถ สำหรับลูกค้า MTL Health Buddy โดยต้องแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลล่วงหน้า

.

โดยสิทธิประโยชน์ข้างต้น สามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ ลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ที่สนใจใช้บริการดังกล่าวเพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. ยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ MTL Health Buddy แจ้งความประสงค์ในการใช้บริการและรับบริการตามสิทธิประโยชน์พิเศษต่อไป

ทั้งนี้ โครงการ MTL Health Buddy ดูแลครบเครื่อง เรื่องสุขภาพ ผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร เป็นบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทุกท่าน ทั้งประกันรายบุคคล และประกันกลุ่ม สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค พร้อมกับสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย ผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.muangthai.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766

ไทยเบฟ ‘มอบโอกาส…ไร้ขีดจำกัด’ เปิดรับสมัครงานกว่า 900 ตำแหน่ง ในงาน JOB EXPO THAILAND 2024

รายงานข่าวเปิดเผยว่า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้วางเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมั่นว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จจะต้องทำงานร่วมกับพนักงาน เพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้และการเติบโตไปกับองค์กรในระยะยาว และขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งไปพร้อมกัน

โดยปีนี้ ไทยเบฟ จะเปิดรับสมัครตำแหน่งงานกว่า 900 อัตราทั่วประเทศ ในงาน “JOB EXPO THAILAND 2024 มหกรรม…หางาน สร้างรายได้”  จัดโดย กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน  ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อการสร้างรายได้ที่มั่นคง มีกำหนดจัดวันที่ 28-30  มิถุนายน 2567 ณ Hall  6-7 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสายงานที่ ไทยเบฟ จะเปิดรับสมัครในงานนี้มีมากกว่า 20 สายงาน อาทิ สายงานขาย สายงานบริการ สายงานบัญชี สายงานทรัพยากรบุคคล สายงานด้านไอที เป็นต้น

ทั้งนี้ งาน JOB EXPO THAILAND 2024 เป็นอีกหนึ่งงานใหญ่ประจำปี สำหรับประชาชนทั่วไป รวมถึงนิสิต นักศึกษาจบใหม่ ให้เข้าถึงโอกาสได้พบปะกับกับนายจ้างโดยตรง มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของไทยเบฟให้ประสบความสำเร็จและเติบโตไปด้วยกัน

เชสเตอร์ พร้อมเสิร์ฟ 2 เมนูใหม่สุดฟิน เอาใจ ‘Curry Lover’ ฮอตถึงเครื่องสไตล์ญี่ปุ่น

Chester’s (เชสเตอร์) เปิดตัว 2 เมนูใหม่สุดพรีเมียม “ข้าวแกงกะหรี่ไก่กรอบ” ไก่ทอดกรอบไม่มีกระดูก กรอบฟินไม่มีสะดุด เสิร์ฟคู่ซอสแกงกะหรี่สุดเข้มข้น เผ็ดหอมกลมกล่อม ทานคู่ข้าวหอมมะลิร้อนๆ พร้อมผักดอง ในราคา 125 บาท และ “ข้าวแกงกะหรี่โกลเด้นฟิช” เนื้อปลาทอดโกลเด้นฟิชชิ้นใหญ่เต็มคำ กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่ซอสแกงกะหรี่รสเด็ดเผ็ดกำลังดี หอมเครื่ืองเทศกลมกล่อมสไตล์ญี่ปุ่น ทานคู่ข้าวหอมมะลิพร้อมผักดอง อร่อยลงตัว ในราคา 175 บาท สาวกข้าวแกงกะหรี่ต้องไม่พลาด! มาลองได้ ที่เชสเตอร์ทุกสาขา

ยังไม่พอ..จัดชุดสุดคุ้มให้ต่อ! ได้แก่ ชุดข้าวแกงกะหรี่ไก่ พิเศษเพียง 159 บาท (ปกติ 214 บาท) ฟินกับข้าวแกงกะหรี่ไก่กรอบ เสิร์ฟคู่เฟรนช์ฟรายส์ พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว หรือชุดข้าวแกงกะหรี่ปลา พิเศษเพียง 189 บาท (ปกติ 215 บาท) อิ่มอร่อยกับข้าวแกงกะหรี่โกลเด้นฟิช พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว ราคานี้เฉพาะทานที่ร้านหรือนำกลับเท่านั้น หรือสนใจสามารถสั่งผ่านเดลิเวอรี่ได้ทุกแอปพลิเคชั่น พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมาย ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

เชสเตอร์ มุ่งมั่นและพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย รสชาติอร่อย รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า พร้อมสร้างสรรค์เทรนด์เมนูอาหารแนวใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/ .