Home Blog Page 38

การบินไทยยังประกอบธุรกิจได้ ระหว่างเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ พร้อมบินเมื่อโควิด-19 คลี่คลาย

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองประธานกรรมการคนที่ 2 รักษาการแทนกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (19 พ.ค.) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ดําเนินการตามแผนฟื้นฟูธุรกิจภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง โดยให้บริษัทดําเนินกิจการตามปกติ

จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รักษาการแทนกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)

การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแม้จะเป็นการดําเนินการภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย แต่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการเลิกหรือชําระบัญชีบริษัท หรือไม่ได้มุ่งหมายให้บริษัทต้องตกเป็นบุคคลล้มละลายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมายในครั้งนี้ จะส่งผลให้บริษัทการบินไทยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งมีกฎหมายรองรับและให้ความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งบริษัทยังสามารถประกอบธุรกิจปกติต่อไปได้ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการขนส่งผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางของการบินไทยทั่วโลก หรือการขนส่งสินค้าไปรษณียภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะดําเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูองค์กรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดําเนินงานและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

การบินไทย มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการดําเนินการทุกวิถีทางเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงบริษัทฯ ไปในทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และขอขอบพระคุณผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้น คู่ค้า พันธมิตรทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าและผู้โดยสารทุกท่านที่ยังคงให้การสนับสนุนและมอบความไว้วางใจให้บริษัทฯ ได้มีโอกาสรับใช้ท่านต่อไป บริษัทพร้อมจะกลับมาดําเนินกิจการและทําการบินอย่างเต็มศักยภาพในทันทีเมื่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว

นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารการบินไทยยังคงสามารถใช้เดินทางได้ต่อไป หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงด้านบัตรโดยสารสามารถดําเนินการผ่านเว็บไซต์ thaiairways.com หรือติดต่อได้ที่ THAI Contact Center โทร.02-356-1111

เงาหุ้น : มุมมองเอเซียพลัส

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 พ.ค.63 ปิดที่ 1,286.53 จุด เพิ่มขึ้น 5.77 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 55,905.03 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,074.79 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิดที่ 36 บาท บวก 0.50 บาท, PTTEP ปิด 85.50 บาท บวก 2 บาท, BANPU ปิด 7.40 บาท บวก 0.95 บาท, BAM ปิด 23.40 บาท บวก 0.20 บาท และ CPALL ปิด 69.75 บาท บวก 0.25 บาท

หุ้นไทยปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังเริ่มมีการคลายล็อกดาวน์ และรับราคาน้ำมันโลกที่ฟื้นตัวดันหุ้นพลังงานดีดตัวขึ้น

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส รวบรวมบริษัทจดทะเบียนรายงานงบการเงินงวด 1Q63 ไปแล้วทั้งสิ้น 543 บริษัท (คิดเป็น 94.6% ของมูลค่าตลาดรวม) มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1.11 แสนล้านบาท (ลดลง 49% QoQ และ 58%YoY) กำไรงวด 1Q63 ที่ลดลงแรงถือเป็น Downside ต่อประมาณการกำไรทั้งปี 63 และกดดัน Upside ของตลาด

แต่ปัจจัยแวดล้อมที่หนุนตลาด และช่วยกำหนดกลยุทธ์ในยามที่ Valuation ตลาดเริ่มตึงๆ มีดังนี้ 1.มีโอกาสสูงที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง ในวันที่ 20 พ.ค.63

สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังมีทิศทางชะลอตัว บวกกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องล่าสุดอยู่ที่ 0.56% (ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย) ซึ่งตามกลไกปกติ ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีปันผลสูง แนะนำ DIF, DCC

2.การกลับมาดำเนินธุรกิจที่หยุดไปชั่วคราว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เช่น ห้างสรรพสินค้า, ร้านค้าปลีก และร้านอาหาร เป็นต้น แนะนำ CPN, COM7 3.ราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่น WTI ฟื้นขึ้นมาถึง 12 เหรียญ/บาร์เรล หรือ 63% (mtd) ขณะที่ราคาหุ้นน้ำมันในไทยยัง Laggard อยู่มาก ชอบ PTT, BCP

ทั้งนี้ เอเซียพลัสเชื่อว่าหุ้นที่ได้รับปัจจัยหนุนจาก 3 ประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในสัปดาห์นี้ Toppicks เลือก CPN, COM7 และ PTT!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS พัฒนาแอปฯ ติดอาวุธให้อสม. พร้อมแจกซิมฮีโร่ กับทำประกันฟรีให้

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทย แม้ว่าจะผ่านจุดวิกฤตมาแล้ว จากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลเริ่มคลายล็อกดาวน์ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ ในทางกลับกันก็อาจเป็นการเพิ่มโอกาสความเสี่ยงที่จะเพิ่มปริมาณผู้ติดเชื้อในระลอก 2 ได้ ดังนั้นการเฝ้าระวัง ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในชุมชนทั่วประเทศ    จากการทำงานของกลุ่ม อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ฉายา “นักรบเสื้อเทา” ที่มีอยู่กว่า 1 ล้าน 5 หมื่นราย จึงมีความสำคัญสูงสุด ในการสกัดกั้นการระบาดในระลอกที่ 2

ตลอดเวลากว่า 4 ปี เอไอเอสได้นำความรู้ ความเชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ร่วมเสริมขีดความสามารถการทำงานของภาคสาธารณสุขไทย  โดยมุ่งเน้นไปที่สาธารณสุขระดับมูลฐาน ทั่วประเทศ ผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ เครือข่ายสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่มการทำงานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุกระหว่างหน่วยบริการสุขภาพและ อสม. ปัจจุบันมี อสม.ดาวน์โหลดและใช้งานแอปนี้แล้วกว่า 4 แสน 1 หมื่นราย

ล่าสุด เอไอเอส ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลโซลูชันมาสนับสนุนการทำงานของ อสม. นักรบเสื้อเทาเพิ่มเติม ได้แก่

            1) พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ “คัดกรองและติดตาม COVID-19”​ บนแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์

           สนับสนุนแนวทางการทำงาน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่จัดกิจกรรม “อสม.เคาะประตูบ้านต้านโควิด-19”  โดยพัฒนาฟีเจอร์คัดกรองและติดตามโควิด-19 บน แอปพลิเคชั่น อสม.ออนไลน์ เพื่อให้ อสม.ใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังความเสี่ยง คัดกรอง และติดตามผลกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน ด้วยรูปแบบรายงานดิจิทัลที่ อสม.สามารถบันทึกได้ง่าย สะดวก รวดเร็วในการติดตามผล  และเรียลไทม์ ทางมือถือ ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รพ.สต. สาธารณสุขอำเภอ และสาธารณสุขจังหวัด สามารถติดตามข้อมูลรายละเอียดการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่นๆ, สมาชิกในบ้านที่อาจมีความเสี่ยง  รวมถึงการติดตามกลุ่มเฝ้าระวัง 14 วัน ในแต่ละครัวเรือนที่ได้อย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ 

            พร้อมเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ รายงานการคัดกรองผู้มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิต เพื่อช่วยติดตาม ผู้ที่มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตจากสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งแสดงคำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้ อสม. ได้แนะนำความรู้ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเบื้องต้น รวมทั้งเป็นเครื่องมือเชิงรุกในการค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงที่ โดยจะเปิดให้บริการฟีเจอร์นี้ภายในเร็วๆนี้

          2) มอบ “ซิมฮีโร่” เพื่อสมาชิก อสม. ให้ใช้งานแอปฯ อสม. ออนไลน์ ได้ไม่สะดุด เน็ตไม่รั่ว ค่าโทรราคาพิเศษ

            สนับสนุน “ซิมฮีโร่” ให้แก่ อสม. ทั่วประเทศ มอบอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้งานบนแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ ได้ฟรีไม่จำกัด ที่ความเร็ว 1 Mbps  เล่นเน็ตไม่รั่ว ที่ความเร็ว 128 kbps โทรทุกเครือข่ายวินาทีละ 2 สตางค์ ทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุด 1 ปี

          3) มอบฟรี ประกันภัย ให้นักรบเสื้อเทา เพิ่มความอุ่นใจในการปฏิบัติงาน

           มอบสิทธิ์ความคุ้มครองประกันภัยให้ อสม. ที่มีอายุระหว่าง 16 – 85 ปี ทั่วประเทศ ฟรี! โดยมีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี 50,000 บาท และรับความคุ้มครองชดเชยรายวัน 400 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 15 วัน เมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19  โดยสามารถรับลิงก์ลงทะเบียนความคุ้มครองได้โดยกด *268*เลขบัตรประชาชน 13 หลัก# และกดเครื่องหมายโทรออก สมาชิก อสม. ที่ลงทะเบียนถูกต้องจะได้รับข้อความ SMS ยืนยันความคุ้มครอง ระยะเวลาเอาประกันภัย 30 วัน (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) จากบริษัทประกันฯ ภายในระยะเวลา 5 วันทำการ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ เอไอเอส ได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญที่มีอยู่มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทรงประสิทธิภาพผ่านแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ และยังได้พัฒนาฟีเจอร์คัดกรองและติดตามโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ อสม.ใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังความเสี่ยง คัดกรอง และติดตามผลกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน พร้อมสนับสนุนระบบสื่อสาร ซิมฮีโร่ พร้อมแพ็กเกจ และความคุ้มครองประกันภัยให้สมาชิก อสม.

เชื่อมั่นว่า แอปฯ อสม.ออนไลน์ พร้อมฟีเจอร์ใหม่เฝ้าระวังไวรัสโควิด-19  จะเป็นการติดอาวุธดิจิทัลให้กับเจ้าหน้าที่นักรบเสื้อเทา สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี

ซีพีเอฟ สนับสนุน TRBN รณรงค์แยกขยะพลาสติก ผ่านโครงการ”ส่งพลาสติกกลับบ้าน”

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สนับสนุน เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network หรือ TRBN ภาครัฐและภาคประชาชน ริเริ่มโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” เพื่อร่วมรณรงค์ให้ผู้บริโภคแยกขยะพลาสติกที่ใช้แล้วนำไปรีไซเคิลหรือนำไปเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะในประเทศไทย ตามรายงานของกรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ล่าสุดพบว่า ขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% จาก 5,500 ตันต่อวันเป็น 6,300 ตันต่อวัน จากการใช้บริการรับส่งอาหารที่มากขึ้นถึง 3 เท่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านและเป็นช่วงปิดภาคเรียนของโรงเรียน

ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติก โดยเฉพาะการปนเปื้อนจากพลาสติกอนุภาคขนาดเล็ก (ไมโครพลาสติก) ในทะเล จึงได้เริ่มต้นลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทาง และประกาศนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยังยืน ใช้ทรัพยากรในการผลิตบรรจุภัณฑ์อย่างคุ้มค่า และลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะขยะพลาสติก เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัท มีส่วนร่วมในการบรรเทาผลกระทบเชิงลบและก่อให้เกิดการสร้างผลเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับความปลอดภัยทางอาหารเพื่อความมั่นใจของผู้บริโภค

โครงการนี้เป็นความร่วมของภาคเอกชน ภาครัฐและภาคประชาชน ในการรณรงค์และให้ความรู้กับผู้บริโภคในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางและนำมารวบรวมที่จุดรับพลาสติก (drop point) 10 แห่ง ที่ตั้งไว้ในบริเวณที่แต่ละบริษัทกำหนด โดยรับพลาสติก 7 ชนิด ได้แก่ ถุง กล่องใส่อาหาร ถ้วย แก้วน้ำ ขวด ฝาขวด ฟิล์ม และต้องทำให้พลาสติกสะอาดและแห้ง ซึ่งเริ่มนำร่องบนถนนสุขุมวิทเพื่อเป็นต้นแบบการเรียกคืนพลาสติกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรวบรวมและส่งต่อให้กับบริษัทผู้รับรีไซเคิล (recycle) หรือนำไปผลิตสินค้าใหม่ (upcyclable) ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในรูปแบบที่เหมาะสม โดยซีพีเอฟ ได้จัดจุดรับพลาสติกที่หน้าร้านซีพี เฟรชมาร์ท เริ่มต้นที่สาขาเพชรบุรี 38/1 (ซอยสุขุมวิท 39)

ที่ผ่านมา มีการนำพลาสติกกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ หรือ รีไซเคิล เพียง 25% ส่วนที่ 75% ไม่ถูก recycle ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากขาดการคัดแยกที่ต้นทาง ถือเป็นการเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” นอกจากจะมีเป้าหมายในการเปลี่ยนพฤติกรรมและเกิดวินัยการแยกพลาสติกสะอาดก่อนทิ้งแล้ว ยังต้องการเพิ่มปริมาณพลาสติกที่เรียกคืนมาได้ เพิ่มสัดส่วนการรีไซเคิล ใช้พลาสติกใหม่น้อยลง อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการดึงทรัพยากรมาใช้

สำหรับภาคเครือข่ายที่ร่วมริเริ่มโครงการนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ภาคเอกชนชั้นนำผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลและนำไปผลิตสินค้าใหม่ เช่น พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทแก้วกรุงไทย จำกัด ผู้สนับสนุนจุดรับพลาสติกประกอบด้วย เทสโก้ โลตัส บริษัทเดอะมอลล์ กรุ๊ป สิงห์คอมเพล็กซ์ บริษัทยูนิลิเวอร์ไทย จำกัด บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เดอะคอมมอน เป็นต้น

เอไอเอส เริ่มให้พนง.กลับเข้าที่ทำงาน 50% แบ่งทีมทำงานสลับกันภายใต้มาตรการสุขอนามัยเข้ม

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า บริษัทฯได้มีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ช่วงต้น และประกาศแผน BCP กระจายทีม และ กระจายสำนักงาน พร้อมเทคโนโลยีให้พนักงาน WORK FROM HOME มาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน พนักงานสามารถทำงาน เพื่อดูแล ส่งมอบบริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

และจากสถานการณ์ที่พัฒนาดีขึ้นเป็นลำดับ บริษัทจึงประกาศต้อนรับพนักงานกลับเข้าทำงานที่ Office แบบ 50% ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม ด้วยแนวคิด “FIT FUN FAIR ชนะภัยโควิด” ภายใต้มาตรการดูแลด้านสุขอนามัยและการคัดกรองป้องกันขั้นสูงสุด ทั้งในภาพรวมของอาคารสำนักงาน ไปจนถึงการปฏิบัติตัวของพนักงานเองที่ยังคงยึดหลัก Social Distancing เป็นสำคัญ โดยมีรูปแบบการทำงานช่วงคลายล็อค ได้แก่

1. แบ่งพนักงานออกเป็นทีม A,B ที่จะสลับกันเข้าทำงานในสำนักงาน คนละ 2 สัปดาห์ โดยเมื่อครบ กำหนด จะมีการทำความสะอาดแบบ deep cleansing ตามหลักสาธารณสุข ก่อนที่อีกทีมจะเข้าปฏิบัติงาน รวมถึงจัดเวลาเข้างานแบบยืดหยุ่น (Flexy Hour)

2. บริหารรูปแบบการใช้พื้นที่ใหม่ตามหลัก Social Distancing ได้แก่ จัด Work Station แบบเว้นระยะห่างระหว่างทีม, เน้นการประชุมและ Brainstorm ผ่านทาง Online เป็นหลัก, แบ่งช่วงเวลาการใช้ห้องอาหารและพื้นที่ส่วนกลางที่จำเป็น เพื่อลดความหนาแน่น

3. คัดกรองและดูแลด้านสุขอนามัยขั้นสูงสุด เช่น การวัดอุณหภูมิร่างกาย, การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา, การทำความสะอาด work station และพื้นที่อาคารสำนักงานทุก 30 นาที

4. ยังคงให้พนักงานงดการเดินทางทั้งใน และ ต่างประเทศ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ธ.ก.ส.เตือน ระวัง SMS แอบอ้าง หลอกให้โอนเงิน

ธ.ก.ส. เตือนเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังมิจฉาชีพส่ง SMS แอบอ้าง ธ.ก.ส. แจ้งการโอนเงินผิดและระบุบัญชีให้โอนเงินคืน ขอหมายเลขบัตรประชาชน ขอเลขที่บัญชีเงินฝาก ขอรหัส OTP หรือรหัสบัตร ATM

ย้ำ! ธนาคารไม่มีนโยบายส่ง SMS ให้กระทำการดังกล่าว อย่าหลงเชื่อโอนเงิน หรือให้ข้อมูล เป็นอันขาด

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เนื่องจาก ในเดือน พ.ค. ธนาคารมีการจ่ายเงินตามมาตรการต่าง ๆ มากมาย เช่น การจ่ายเงินเยียวยาเราไม่ทิ้งกัน การจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกร 15,000 บาท เดือนละ 5,000 บาท 3 เดือน การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การจ่ายเงิน อสม. และการจ่ายเงินประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้เหตุดังกล่าวหลอกลวง แอบอ้าง เพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง ด้วยการส่ง SMS แจ้งการโอนเงินผิดบัญชีแล้วระบุบัญชีให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปโอนเงินคืน การจัดส่ง SMS ขอหมายเลขบัตรประชาชน ขอเลขที่บัญชีเงินฝาก ขอรหัส OTP หรือแม้กระทั่งการขอรหัสบัตร ATM ซึ่ง ธ.ก.ส.ขอย้ำว่า ธนาคารไม่มีนโยบายส่ง SMS ให้กระทำการดังกล่าวและขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป อย่าหลงเชื่อโอนเงินหรือให้ข้อมูลอื่นใดเด็ดขาด

หากพบเห็นการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว โปรดเก็บข้อมูล วิธีการหลอกหลวง แจ้งมายังธนาคาร หรือ โทรศัพท์สอบถามพนักงานธนาคารที่ท่านคุ้นเคย หรือแจ้งข้อมูลให้กับ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพี่อธนาคารจะดําเนินการเอาผิด ตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

BTSGIF คาดจำนวนผู้โดยสารบีทีเอสเพิ่ม หลังโควิด19 คลี่คลาย

นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง และรัฐบาลเริ่มมีมาตรการผ่อนปรนให้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น รวมถึงสถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการจะกลับมาเปิดเรียนในเดือนกรกฎาคม 2563 นี้ ทำให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า BTS จะค่อยๆ กลับมาสู่ภาวะปกติ อันจะส่งผลให้กองทุนฯ สามารถจ่ายเงินปันผลและหรือเงินคืนทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม  BTSGIF ยังคงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๅ จากการปิดกิจการชั่วคราวในสถานประกอบการต่างๆ และการอยู่กับบ้านเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 22.00 น. – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ส่งผลให้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารระบบรถไฟฟ้า BTS  ต้องปรับเวลาให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส จากเดิมเวลา 06.00 – 24.00 น. เป็นเวลา 06.00 – 21.30 น.

ทั้งนี้ ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสลดลง โดยในเดือนเมษายน 63 จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 3.5 ล้านเที่ยว ลดลง 81.5% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 11.7ล้านเที่ยว ลดลง 45.2% อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น กองทุนฯ เชื่อว่า การดำเนินงานของระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส จะเริ่มทยอยกลับมาดีขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการโดยสารรถไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือกที่รวดเร็ว สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารในกรุงเทพฯ 

ปกติแล้ว กองทุนจะประเมินมูลค่าทรัพย์สินใหม่ทุก 2 ปี แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้ค่าโดยสารสุทธิ กองทุนฯ จึงให้ผู้เชี่ยวชาญประมาณการผลการดำเนินงานของระบบรถไฟฟ้าสายหลักที่กองทุนฯ ลงทุน เพื่อให้สะท้อนถึงผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงปัจจัยอื่นๆ และมีการปรับปรุงสมมติฐานต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น เช่น การปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราเงินเฟ้อ การเลื่อนการปรับปรุงสถานีสะพานตากสิน และการชะลอการเปิดรถไฟฟ้าสายต่างๆ  เป็นต้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ราคาประเมินครั้งนี้ลดลงจากครั้งก่อน โดยจากการประเมินค่าล่าสุด ราคาประเมินทรัพย์สิน ณ วันที่ 31มีนาคม 2563 อยู่ที่ 52,410 ล้านบาท

สำหรับ BTSGIF มีรายได้สุทธิที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลัก ครอบคลุมระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ประกอบด้วย สายสุขุมวิท ระยะทาง 17 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุช และสายสีลม ระยะทาง 6.5กิโลเมตร จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน ตามสัญญาสัมปทาน (สัญญาสิ้นสุดวันที่ 4 ธันวาคม 2572) ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

เอไอเอส จับมือเซ็นทรัลเวิลด์ ใช้ 5G ตอบโจทย์ลูกค้ายุค NOW Normal

เอไอเอส ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นำขีดความสามารถของเทคโนโลยี 5G มาช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยของประชาชน ทั้งการติดตั้งเครือข่าย 5G ครอบคลุมเต็มทุกพื้นที่ และการนำหุ่นยนต์ ROC และ AIS K9 ที่ทำงานบน LIVE Network 5G มาช่วยปฏิบัติหน้าที่คัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็ว และมีความแม่นยำสูง เพื่อลดการสัมผัสใกล้ชิด และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่รับ NOW Normal พร้อมนำเทคโนโลยี 5G สร้างมาตรฐานใหม่ในการพลิกฟื้นและเคียงข้างภาคธุรกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่าว ธุรกิจรีเทล ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจบริการหลักของประเทศที่จะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ ในฐานะศูนย์กลาง Lifestyle ของประชาชน และมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วให้เข้ากับ New Norm เอไอเอส ในฐานะพันธมิตร จึงได้ผนึกกำลังกับ CTW พัฒนา Digital Solutions จากเทคโนโลยี 5G ซึ่งมีพลานุภาพสูง ทั้งในแง่ของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีความเร็ว (Speed) การตอบสนองต่อการสั่งงานที่รวดเร็ว มีความหน่วง (Latency) ต่ำ พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย (IoT Connectivity) ตอกย้ำการนำเทคโนโลยี 5G ที่จับต้องได้ เพื่อตอบสนองทุก Lifestyle” โดยความร่วมมือในช่วงระยะแรก แบ่งออกเป็น

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส

1. ติดตั้งเครือข่าย 5G ครอบคลุมเต็มทุกพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของลูกค้าเอไอเอสทั้งบนเครือข่าย 4G และ 5G

2. นำหุ่นยนต์ ROBOT FOR CARE (ROC) ช่วยปฏิบัติหน้าที่คัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าศูนย์การค้า ซึ่งเป็นหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยตรวจรักษาพยาบาลผู้ป่วยCOVID-19 ในโรงพยาบาล ตามที่เอไอเอสให้การสนับสนุน ภายใต้ภารกิจ AIS 5G สู้ภัย COIVD-19มาก่อนหน้านี้ และหุ่นยนต์ AIS K9 บริการเจลแอลกอฮอล์ รอบๆ พื้นที่ Shopping ที่ทำงานบน LIVE Network 5G ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

3. จัดมาตรการดูแลความปลอดภัยด้านสุขอนามัยขั้นสูงสุดสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการ ณ AIS Shop อาทิ การวัดอุณหภูมิร่างกาย, บริการเจลแอลกอฮอล์, ติดตั้งแผงอะครีลิค ในบริเวณการทำธุรกรรม, บริหาร Traffic ในการเข้าใช้บริการตามหลัก Social Distancing, คัดกรองสุขภาพของพนักงานที่ให้บริการ พร้อมมัการสวมอุปกรณ์ป้องกันครบถ้วน ตลอดจนการทำความสะอาดบริเวณ AIS Shop ตลอดเวลาเพื่อความอุ่นใจของลูกค้า

“เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในภาคประชาชน ประชาสังคม ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน จะมีส่วนช่วยสนับสนุนและนำพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน” นายปรัธนา กล่าวสรุป

เงาหุ้น : ไล่ราคาหุ้น CBG

อินเด็กซ์ 51

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 พ.ค.63 ปิดที่ 1,280.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 50,659.85 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,651.02 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 35.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, CPALL ปิด 69.50 บาท ลบ 0.75 บาท, CBG ปิด 94.50 บาท บวก 7.50 บาท, BAM ปิด 23.20 บาท บวก 0.10 บาท, PTTEP ปิด 83.50 บาท บวก 1.75 บาท

หุ้น CBG บวกแรง แรงซื้อหนาแน่น หลังมีการประชุมนักวิเคราะห์ โดย บล.ธนชาต ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกหลังประชุมนักวิเคราะห์ จากยอดส่งออก energy drink ไปยังพม่า-กัมพูชา

เติบโตได้ดี คาดรายได้จากการส่งออก +30% y-y ใน 2Q20 ซึ่งสินค้าส่งออกเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงกว่าการขายในประเทศ ทำให้แม้ปริมาณการขายในประเทศอ่อนลงไปบ้าง เนื่องจากการปิดเมือง แต่คาดว่ากำไรจะยังเติบโตได้ดี

แนะนำ “ซื้อ” ให้พื้นฐาน 96 บาท เป็นหุ้นที่ธนชาตแนะนำต่อเนื่อง มองได้รับผลกระทบจาก COVID จำกัด และสามารถเติบโตสวนทางกับเศรษฐกิจได้ดี

ส่วนมุมมองโบรกเกอร์อื่นๆ ส่วนใหญ่แนะนำ “ซื้อ” นำโดย บล.ฟินันเซีย ไซรัสแนะ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 107 บาท ตามด้วย บล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมาย 105 บาท ขณะที่เคจีไอ ให้ราคาเป้าหมาย 94 บาท ส่วนหยวนต้า (ประเทศไทย) ให้เป้าหมาย 92 บาท ด้านทิสโก้ ให้เป้าหมายที่ 83.50 บาท และโนมูระ พัฒนสิน แนะแค่ “ถือ” ให้มูลค่าเหมาะสมปี 63 ที่ 80 บาท

ส่วนฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” โดยอยู่ระหว่างปรับราคาพื้นฐาน!!

ทั้งนี้ ศบค.ประกาศผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เริ่ม 17 พ.ค.นี้ บล.ธนชาต มองเป็นประเด็นที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว ขณะที่ภาพ Valuation ของ SET ที่อยู่ในระดับสูง โดย PE สูงกว่า 20 เท่า ไม่รองรับกรณีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด หลังทยอยผ่อนคลาย lockdown ทำให้ยังแนะนำ “ลด” พอร์ต ต่อเนื่อง

โดยเลือกลงทุนในหุ้น 1.กลุ่มโรงกลั่น–ปิโตรฯ ที่กำไรจะออกมาดีใน 2Q20 พลิกจากขาดทุนในไตรมาสแรก IRPC-SPRC-IVL 2.กลุ่ม Infrastructure Fund ที่รายได้ไม่กระทบจาก COVID

ปันผลสม่ำเสมอ ได้ผลดีดอกเบี้ยต่ำ DIF และ 3.กลุ่มเรือบรรทุกน้ำมัน PRM ที่ได้ประโยชน์จากค่าระวางเรือแบบ Floating Storage Unit ที่เพิ่มขึ้น.

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดยอินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เทปคาสเซ็ท ความบันเทิงที่จับต้องได้กับราคาที่ขึ้นกับความพอใจ

ความบันเทิงยุคสมัยใหม่ ไม่ได้มาในรูปแบบของสิ่งที่จับต้องได้อีกต่อไป เมื่อสิ้นยุคสมัยของแผ่นซีดี ดีวีดี บลูเรย์ ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คนฟังเพลงปัจจุบัน เลือกที่จะเสพงานเหล่านี้ผ่านการสตรีม หรือ ออนไลน์แทน เพราะเดี๋ยวนี้ ฟังเพลงจากมือถือ, คอมพิวเตอร์ เป็นพฤติกรรมการฟังเพลงที่แทนที่การฟังแบบเก่าผ่านเทป ซีดี

ปัจจุบัน เราแทบไม่เห็นการนำแผ่นหนังใหม่มาวางจำหน่ายแล้ว จากเมื่อก่อนที่รอหนังออกจากโรงภาพยนต์ ประมาณ 3 เดือน ก็จะได้เห็นวางขายในรูปแบบแผ่นดีวีดีกัน แต่ปัจจุบัน โดยเฉพาะหนังไทย ไม่มีให้เห็น หรือหากมีก็เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศมาวางขายแทน เพราะการผลิตหนังเป็นแผ่นในไทย ไม่คุ้มค่าอีกต่อไป และผลิตออกมา ก็ทำยอดจำหน่ายได้น้อย ทั้งจากพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือการโหลดหนังมาดูฟรีๆ

อย่างไรก็ตาม เรากลับได้เห็น ฟอร์แมตอย่าง เทป และ แผ่นเสียง ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แม้จะยังจำกัดเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง

จริงๆแล้ว แผ่นเสียงกลับมาก่อนเทปสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยกระแสนิยมฟังเพลงจากแผ่น บ้างก็ว่าได้อรรถรสด้านเสียงดีกว่าแผ่นซีดี ทั้งนี้ ขึ้นกับรสนิยมความชอบ และประสบการณ์ของแต่ละคน

ส่วนที่มาแรงตอนนี้ คือ เทปเพลง หลังจากที่ล้มหายตายจากไปจากการเข้ามาแทนที่ของซีดีเพลงเกือบจะยี่สิบปีก่อน แต่ปัจจุบัน เทปเพลง กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในหมู่คนฟังเพลง ยิ่งในต่างประเทศแล้ว ศิลปินรุ่นใหม่นิยมออกผลงานในรูปแบบเทป และได้รับการตอบรับจากแฟนๆ เช่นเดียวกับตลาดในไทย ก็มีศิลปินไทยไม่น้อยที่ออกอัลบ้้มมาเป็นเทป แม้ว่าราคาจะสูงกว่าราคาเทปสมัยก่อน สูงกว่าแผ่นซีดีด้วยซ้ำไป

รายงานเปิดเผยว่า เทปที่จำหน่ายในปัจจุบัน แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ

  1. เทปเพลงเก่า ที่ผลิตมานานแล้ว จัดเป็นเทปมือสอง ซึ่งมีทั้งแบบซีล (ยังไม่แกะพลาสติกหุ้ม) และไม่ซีล แต่เทปบางชุด หายาก ก็จะมีราคาสูง นิยมนำมาประมูล หรือเสนอราคากันในกลุ่ม เช่น เทปเพลงของวงบอดี้แสลม, โมเดิร์นด็อก ซิลลี่ ฟูล,พาราด๊อกซ์, คาราบาว ราคาไปถึงหลักหมื่น หลักพัน ยิ่งหากอัลบั้มนั้นเป็นที่นิยม หายาก เป็นผลิตออกมาเป็นปกแรกๆ ก็จะยิ่งได้ราคา
  2. เทปผลิตใหม่ เปิดให้จอง สั่งซื้อก่อนผลิต และผลิตจำนวนตามยอดสั่งจอง/ซื้อ โดยมีราคาขายเทปใหม่ ประมาณ 600-700 บาท ถือว่าเป็นเทรนด์เลยทีเดียวที่ศิลปิน ออกผลงานเป็นรูปแบบเทปมาให้แฟนเพลงได้สะสม ซึ่งส่วนใหญ่ ได้รับกระแสตอบรับดีมาก อย่างเช่น อัลบ้้มชุด คราม และ ดัมมะชาติ   ของบอดี้แสลมที่ผลิตใหม่ในแบบคาสเซ็ตเทป เปิดให้สั่งจองในราคาม้วนละ 690 บาท และหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว หรือก่อนหน้านี้ อย่างเทปของศิลปินอย่าง Polycat ก็เช่นกัน และบางม้วนที่เป็นที่ต้องการมาก และไม่มีการผลิตซ้ำ หากนำมาขายต่อ อาจได้ราคาสูงถึงหลักพันเลยทีเดียว

จากข้อมูลของเพจ คนรักเทปวินเทจ พบว่า เทปเพลงเก่า บางม้วน สามารถเปิดประมูลได้ราคาสูงถึงหลักหมื่น คือ เทปชุด save my life ของวงบอดี้แสลม ได้ราคาถึง 12,000 บาท เทปอัลบั้มแรกของวงคาราบาว ชุด ลุงขี้เมา ปกแรก ได้ราคาถึง 9,500 บาท เทปอัลบั้ม ep ของซิลลี่ฟูล 5050 บาท เทปของวงscrubb ได้ราคาถึง 7800 บาท

ขณะที่เทปที่ผลิตใหม่ แต่มีความต้องการในตลาดมาก ทำให้ราคาซื้อต่อสูง เช่น เทปของวง Polycat 4500 บาท เขียนไขวานิช 4200 บาท

ต้องถือว่า ตลาดของสะสม เช่น เทปเพลง หากลูกค้า หรือความต้องการสิ่งของนั้นมีสูง ราคาอาจไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับนักสะสม เพราะหากแลกได้มากับสิ่งของที่หายาก มีคุณค่าทางจิตใจแล้ว หรืออาจมองในแง่การลงทุนก็คุ้มค่าเพราะมีราคาในอนาคตแล้ว นอกจากนี้ บางคนยังเชื่อว่า การฟ้งเทปทำให้เข้าถึงผลงานเพลงได้มากกว่าการฟังออนไลน์

แน่นอนว่า หากยังมีความต้องการ ตลาดเทปเพลงก็จะสามารถดำเนินอยู่ต่อไปได้หลังจากฟื้นคืนชีพมาได้แล้ว เราอาจเห็นราคาเทปทำสถิติราคาซื้อขายสูงกว่านี้อีกก็เป็นได้ในอนาคต

ขอบคุณ ข้อมูล และภาพประกอบบางส่วนจาก เพจ “คนรักเทปวินเทจ”