Home Blog Page 32

5 ข้อวายป่วง ทำกองทุนสำรอง ไม่พอ เลี้ยงชีพ

วันก่อน คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออม รู้ใช้รู้ลงทุน สู่ความมั่งคั่ง” พูดถึงเรื่อง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ว่าเป็นเครื่องมือการออมเงินที่เป็นตัวช่วยที่ดีของมนุษย์เงินเดือน เปรียบเสมือนเป็นการ ” หักดิบ” ออมเงินตั้งแต่ต้นทาง

ครั้งนี้ เราจะว่ากันถึงเหตุที่จะทำให้ กองทุนสำรอง “ไม่พอ” เลี้ยงชีพ โดยบทความนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ ผู้เขียนขออนุญาตนำมาถ่ายทอดต่อให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายๆ

ทำไม กองทุนสำรอง ถึงจะ ไม่พอ เลี้ยงชีพ ที่เป็นสาเหตุประการแรกเลย คือ

1. ออมเงินไปวันๆ แบบไม่รู้ว่าตัวเองมีความต้องการใช้เงินเท่าไรหลังเกษียณ หรือไม่ได้ทำงานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น คำนวณว่า เกษียณแล้ว ต้องการใช้เงินเดือนละ 10,000 บาท แต่ปัจจุบัน ทั้งเก็บทั้งออม คำนวณดูแล้ว เงินออมทั้งหมด ไม่ตอบโจทย์ คือ ไม่พอสำหรับการใช้จ่ายเดือนละหมื่นบาท อันนี้อนาคตลำบากหน่อย

ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สูตรคำนวณมาง่ายๆ หยิบเครื่องคิดเลขมากดๆ ตามนี้

  • กำหนดตัวเลขเงินค่าใช้จ่ายปัจจุบัน ต่อเดือน
  • เอาตัวเลขข้างบน x 12 จะเท่ากับค่าใช้จ่ายต่อปี
  • เอาค่าใช้จ่ายต่อปี x 70% เพื่อปรับเป็นค่าใช้จ่ายจริงตอนไม่ได้ทำงานแล้ว
  • เอาตัวเลขค่าใช้จ่ายจริงข้างบน x จำนวนปีก่อนตาย เช่น กะว่าจะตายตอนอายุ 85 ก็เท่ากับว่า มีเวลาเหลือใช้ชีวิตหลังเกษียณ (อายุ 60 ) เท่ากับ 25 ปี
  • เอาผลลัพท์ข้างบน X 2 เพื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ 3%ต่อปี

สมมติ อยากอยู่ต่อบนโลกถึงอายุ 85 และต้องการใช้เงินเดือนละหนึ่งหมื่น กดเครื่องคิดเลขตามสูตรข้างบนแล้ว เท่ากับว่า ตัวเราต้องมีเงินเก็บสำหรับโลกหลังเกษียณ และก่อนความตาย เท่ากับ 4.2 ล้านบาท

เพียงเท่านี้ก็จะทราบวงเงินที่จำเป็นต้องใช้เมื่อเกษียณอายุอย่างคร่าว ๆ และเป็นเป้าหมายในการลงทุนว่าเราจะต้องเก็บเงินอย่างน้อยปีละเท่าใด ต้องให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนปีละเท่าใด ด้วยข้อจำกัดของจำนวนปีของการทำงานที่ยังเหลืออยู่


2. จ่ายเงินสะสมแค่ขั้นต่ำสุด เพราะคิดแต่ว่า ถ้าว่างงาน เจ็บป่วย และเกษียณอายุ สามารถใช้สวัสดิการของรัฐบาลได้ น้ำบ่อหน้าแบบนี้เอามาใช้กับการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุไม่ได้ หากต้องการเกษียณอย่างมีความสุข เงินที่เก็บเพื่อการเกษียณ ต้องเก็บประมาณ 10 – 20% ของรายได้ต่อเดือน เก็บทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนแรกที่มีรายได้จากการทำงาน เงินเดือนที่มนุษย์เงินเดือนได้รับ ไม่ควรใช้แบบเดือนชนเดือน อย่าลืมว่า เงินสมทบ และเงินเดือนของนายจ้าง อยู่บนเงื่อนไขอย่างเดียวว่า เรายังทำงานให้เค้าได้ และเราสามารถโดนไล่ออก เลิกจ้าง ได้ตลอดเวลาทำงาน

3. คิดเอาเองว่า ยอดเงินทั้งหมดบนใบแจ้งยอดกองทุนเป็นของเราชัวร์ๆ แบบไม่มีเงื่อนไข เพราะ เงินกองทุนฯ ถูกแยกเป็น เงินสะสม ผลประโยชน์ของเงินสะสม เงินสมทบ และ ผลประโยชน์ของเงินสมทบ ซึ่งเงินในส่วนของนายจ้างไม่ว่าจะเป็นเงินสมทบ หรือ ผลประโยชน์ของเงินสมทบนั้น นายจ้างมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างถูกไล่ออก ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง นอกจากนี้นายจ้างยังมีสิทธิ์ที่จะแบ่งเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบเป็นสัดส่วนตามอายุงาน รวมไปถึงการกระจายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบในส่วนที่ลูกจ้างไม่ได้รับเมื่อออกจากงานกลับไปให้สมาชิกกองทุนรายอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างอยู่ทำงานกับนายจ้างนานขึ้น ข้อกำหนดเหล่านี้ถูกระบุไว้ใน “ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ส่วนใหญ่ คนที่จะได้รับเงินแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามตัวเลขในใบแจ้งยอด ก็ต้องเป็นสมาชิกกองทุนฯ ที่เกษียณอายุ ตาย หรือ ทุพพลภาพ

4. เลือกแนวทางลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนน้อยเกินไป ข้อมูลสถิติบอกไว้ว่า ราคาสินค้าและบริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี และมีเพียงผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสามัญที่จะสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ ดังนั้น หากตัวเรา เป็นคนประเภท ซื้อหุ้นปุ๊บ อยากเห็นตัวเลขในพอร์ตหุ้นขึ้นตัวเขียว โชว์กำไรเลย ในเวลาอันสั้น หรือทนเห็นตัวเลขขาดทุนไม่ได้เลย ก็ต้องชดเชยด้วยการเก็บเงินต้นต่อเดือนที่เพิ่มขึ้น และ มีระยะเวลาในการเก็บนานขึ้น

แต่หากคิดลงทุนหุ้น ต้องท่องไว้ว่า เป็นการลงทุนระยะยาว ยาวแบบเกิน 5 ปีขึ้นไป และต้องจัดสัดส่วนให้เหมาะสม ไม่ใช่มีเท่าไร พี่ใส่กับหุ้นทั้งหมดเลย ต้องดูตัวเองทั้งในเรื่องของ อายุ สถานภาพ ข้อจำกัด ความสามารถในการรับความเสี่ยง ประเภทซื้อหุ้นวันนี้ พอราคาหุ้นตกวันพรุ่ง นั่งกุมขมับ เครียด อันนี้ไม่แนะนำ เพราะเดี๋ยวจะพาลเจ็บป่วย ไม่มีเวลาใช้เงินบนโลกนานกว่าที่ควรจะเป็น

5. ถอนเงินออกมาใช้ก่อน มากกว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปี เช่น ระยะเวลา 25 ปีที่อยู่บนโลกหลังเกษียณ ต้องการใช้เงินเก็บให้หมด ก็เอาสูตรนี้ไปคำนวณเงินที่ควรเบิกมาใช้ต่อปีว่าควรเป็นเท่าไร ตามนี้ เอาตัวเลข 100 หารด้วยระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้เงินให้หมด เช่น เวลา 25 ปี กะใช้เงินให้หมด ก็เอา 100 หารด้วย 25 จะเท่ากับ 4 แปลว่า เราต้องไม่ถอนเงินออกมาใช้ มากกว่า 4% ในปีๆนึง ไม่งั้น เวลาที่เหลือเราจะมีเงินไม่พอใช้ได้

ดังนั้นหากเราได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยามเกษียณ ทั้งหมด 1 ล้านบาท ก็ควรจะถอนเงินก้อนนี้ออกมาใช้ปีละไม่เกิน 40,000 บาท เพื่อที่จะสามารถใช้เงินได้ครบ 25 ปี หรือ ในกรณีที่คาดว่าจะใช้เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้หมดภายในระยะเวลา 40 ปี ก็ควรจะนำเงินออกมาใช้ในอัตราที่น้อยกว่า 2.50% ต่อปี

จริงๆแล้ว ยังมีเรื่องอีกเยอะที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคน เกษียณแบบไม่ถึงฝั่งฝัน ไม่ว่าจะเป็นการชิงสุกก่อนห่าม ถอนเงินกองทุนออกมาใช้ก่อนเกษียณ โดยลืมนึกไปว่าเงินที่ได้รับมานั้นจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, การละเลยไม่แจ้งคณะกรรมการกองทุนเมื่อสมาชิกต้องการเปลี่ยนชื่อ-สกุล-ที่อยู่-หมายเลขโทรศัพท์ ของผู้รับผลประโยชน์เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในกรณีต่าง ๆ, การเพิกเฉยต่อการเลือกตั้งคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีความรู้ความสามารถและ “รู้เท่าทัน” ผู้จัดการกองทุน เพื่อเป็นตัวแทนของสมาชิกกองทุนในการตรวจสอบผลการดำเนินงานกับผู้จัดการกองทุนโดยตรง เป็นต้น

และทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป้าหมายตัวเงินแบบคิดง่าย ทำ(อาจ)ง่าย ยังไม่ได้คิดเผื่อรวมถึงเหตุฉุกเฉิน อยู่นอกแผน หรือกำหนดกะเกณฑ์ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ซึ่งจะทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายตามมา เพราะปัจจุบัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังเช่น ตัวอย่างจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่เล่นงานมนุษย์ได้ในทุกระดับ ถึงแม้จะไม่ได้ติดเชื้อ แต่ก็ได้รับผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ และชีวิต แบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ประสบพบเจอ

จึงอยากให้ ใช้ชีวิตกันอย่างไม่ประมาท และวางแผนเผื่ออนาคตที่มองไม่เห็นว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอีก

ที่มา ห้องเรียนนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

คุณนายพารวย : ออมเงินกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

บทความที่แล้วเล่าให้ฟังถึง คุณพี่มนุษย์เดือนชนเดือน พนักงานออฟฟิศท่านหนึ่ง  ที่ปรับระบบชีวิตการเงินของตัวเองใหม่ จนสามารถปลดแอกจากชีวิตหนี้ที่มืดมน เงินเดือนหมื่นกว่า แต่เป็นหนี้เกือบครึ่งล้าน จากการใช้จ่ายเงินที่ไม่มีระเบียบแบบแผน มีเงินเข้ากระเป๋าเท่าไร ก็ใช้จ่ายจนหมดเกลี้ยง ไม่พอก็หยิบยืม  รูดบัตรเงินสด  กู้เงินนอกระบบ เงินเก็บเงินออมไม่เคยมี  เงินลงทุนไม่ต้องพูดถึง

             เมื่อชีวิตพลิกผัน ได้เข้าสู่โครงการ “Happy Money Happy Retirement” ที่บริษัทส่งพนักงานเข้าร่วมโครงการกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้กลับมาจัดระเบียบการใช้จ่ายของตัวเองใหม่หมด  จดบันทึกรายรับรายจ่าย อุดรูรั่ว ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ก็มีเงินเหลือมาจ่ายหนี้  เมื่อรายรับไม่พอจ่าย ก็ต้องหารายได้เพิ่ม

            สุดท้ายหมดหนี้ เริ่มออมเงิน โดยเริ่มจากเงินออมต้นทาง คือเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถือเป็นเงินออมก้อนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินออมระยะยาวเพื่อเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ 

             ผู้ที่รู้ตัวเองดีว่า ถ้าให้เก็บเงินเองจะ “เก็บไม่อยู่” แน่นอน  ให้ใช้วิธี “หักดิบ” ยอมให้หักเงินจากเงินเดือนมาสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราสูงสุดไปเลย ซึ่งหลายบริษัทให้สะสมได้สูงสุด 15%ของเงินเดือน

            ข้อดีของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากเงินออมสะสมของเราที่ใส่เข้าไปทุกเดือนแล้ว ยังมีเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้เราเพิ่มไปอีก ขึ้นกับข้อกำหนดของแต่ละบริษัทว่าจะสมทบให้เท่าไร ตั้งแต่ 2-15%  นั่นหมายถึงเงินที่นายจ้างช่วยออมเพิ่มให้เรานั่นเอง!!

            แถมเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเรา ยังสามารถนำไปใช้หักลดหย่อนภาษีเงินได้ที่เราต้องจ่ายทุกปีได้อีกด้วย

             ที่สำคัญยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะเงินสะสมและเงินสมทบของนายจ้าง จะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพบริหารเงินให้

             ผลตอบแทนจากการลงทุนแต่ละปีจะมากหรือน้อย  ขึ้นกับหลายปัจจัย โดยเฉพาะขึ้นกับระยะเวลาและสินทรัพย์ที่ไปลงทุน ซึ่งมีทั้งเงินฝาก หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ กองทุนรวมและกองรีทต่างๆ ที่มีทั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองทุนโครงสร้างพื้นฐานมากมาย

            ซึ่งปัจจุบัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีรูปแบบให้ลูกจ้างเลือกแผนลงทุน (Employee’s Choice)ได้ เช่น หากยังอายุไม่มาก  แนะนำให้เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มากขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้น เพราะจากสถิติพบว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี มักให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าได้

            เมื่ออายุมากขึ้นต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง เพื่อไปลงทุนมากขึ้นในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่อาจได้ผลตอบแทนที่ลดลง และหากใกล้เกษียณก็สามารถขอเลือกแผนลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย เพื่อปกป้องเงินต้นในโค้งสุดท้ายของการลงทุน

“คุณนายพารวย”อยากแนะนำให้พวกเราเพิ่มพูนความรู้และเทคนิคการออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบแซ่บๆ ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th และเลือกไปที่ เมนู“ความรู้การลงทุน”

            แล้วจะรู้ว่า การเลือกแผนลงทุนที่สอดคล้องกับอายุ เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างมหาศาล!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออม รู้ใช้รู้ลงทุน สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Food Truck ของซีพีเอฟ นำอาหารอุ่นเสิร์ฟให้ชาวบางบอน อาหารปลอดภัยจากใจสู่ชุมชน ครั้งที่ 15

ซีพีเอฟ ส่งเสริมคนไทยเข้าถึงอาหารคุณภาพปลอดภัย สู้ภัยโควิด-19 นำ ‘CPF Food Truck’ มอบอาหารอุ่นร้อน ชาวชุมชนซอยกำนันแม้น เขตบางบอน

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานจาก CPF Food Truck ในโครงการ “อาหารปลอดภัยจากใจ…สู่ชุมชน” ครั้งที่ 15 มอบให้ชาวชุมชนซอยกำนันแม้น เขตบางบอน เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงอาหารคุณภาพปลอดภัย ถูกสุขอนามัย และช่วยลดค่าครองชีพ บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

นายทนง ไทยวัฒนาพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ พร้อมด้วย ผู้แทน รมว.เกษตรฯ และพนักงานซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานจาก CPF Food Truck จำนวน 6 เมนู ได้แก่ ข้าวอกไก่ซอสจิ้มแจ่ว ข้าวผัดไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวไก่สไปซี่ ข้าวอกไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวตับกระเทียม และข้าวไข่เจียว รวมถึงไข่ต้ม ให้แก่ชาวชุมชนซอยกำนันแม้น เขตบางบอน นอกจากนี้ พันธมิตร โอสถสภา นำเครื่องดื่ม และ Mc ยีนส์ นำหน้ากากผ้า ร่วมมอบด้วย ณ ซ.กำนันแม้น 13 แยก 19 เขตบางบอน กรุงเทพฯ

สำหรับโครงการดังกล่าวฯ จัดขึ้นทุกวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ มอบอาหารอุ่นร้อนให้กับชุมชนในกรุงเทพฯ กว่า 20 ครั้ง ในเขตบางกอกน้อย บางพลัด ห้วยขวาง บางบอน บางขุนเทียน และหนองแขม รวมทั้งสิ้น 6 เขต นอกจากนี้ในวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563 ซีพีเอฟ จะร่วมกับสมาคมตำรวจ และสมาคมแท็กซี่ มอบอาหารให้กับพี่น้องแท็กซี่ ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดี เพื่อช่วยเหลือสังคมต่อไป

ซีพีเอฟ  ในฐานะผู้นำครัวโลกยั่งยืน ยึดมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ การดำเนินธุรกิจจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท โดยขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคมผ่านยุทธศาสตร์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน ได้แก่ “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่” จึงร่วมมือกับภาครัฐและพนักงานในบริษัท ส่งมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงอาหารคุณภาพ อร่อย ปลอดภัย และถูกสุขอนามัย โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19

เงาหุ้น : เลือกหุ้นดีดี!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 5 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,435.70 จุด บวก 24.69 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย  120,331.42 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 52.23 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด นำโดย BAM ปิด 24.80 บาท บวก 1.20 บาท,PTT ปิด 39.50 บาท บวก 1.50 บาท, PTTEP ปิด98.75บาท บวก 6บาท, ADVANC ปิด 201บาท บวก 4 บาท และ SCB ปิด 89.25บาทบวก 1.50 บาท 

ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค คาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังทยอยคลายล็อกดาวน์ 

บล.เอเซียพลัสระบุว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่องในระบบการเงินเป็นหลัก โดยต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4 วันติดต่อกัน กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แต่ตลาดยังขาดปัจจัยพื้นฐานที่หนักแน่นเพียงพอ

ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการวิเคราะห์หาความต่อเนื่องของ Fund Flow ที่จะคอยหนุนตลาดแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ  

1. Fund Flow จากต่างชาติ แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ส่วน คือ

  • ค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค แสดงให้เห็นว่าความน่าสนใจในการลงทุนถูกกระจายไปทั้งภูมิภาคไม่ใช่เฉพาะไทย ขณะที่ค่าเงินบาทช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นมาแรงถึง 4.66% สูงกว่าประเทศอื่น ประเมินว่าการแข็งค่าอาจเหลือน้อยลง ทำให้ Fx Gain ที่ได้ลดลงตามไปด้วย
  • Valuation (PER63F) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่แพงสุดในภูมิภาค โดยหุ้นไทยฟื้นจากจุดต่ำสุดช่วงกลางมี.ค.กว่า 442 จุด หรือ 45.6% จนมีค่า PER63F ที่ฝ่ายวิจัยประเมินสูงถึง 22 เท่า สูงสุดในภูมิภาค

2. Fund Flow จากนักลงทุนในประเทศ วิเคราะห์ออกเป็น 2 ส่วน คือ 2.1. Valuation (PER63F) ล่าสุดที่ระดับ 22 เท่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับในอดีตขณะที่ PER63F เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 16 เท่า เท่านั้น 2.2. Market Earning Yield Gap ตลาดหุ้นไทยล่าสุด แคบลงมาเร็วเหลือเพียง 3.98% (จาก 5.5% ในเดือน มี.ค.) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.25% เนื่องจากดัชนีที่ปรับขึ้นแรง บวกกับ Bond Yield ที่เริ่มทยอยขยับขึ้น ทำให้ความน่าสนใจในการ Search for yield เริ่มลดน้อยลงกว่าในอดีตมาก

สรุปตลาดหุ้นไทยแพงมากทั้ง 2 มิติ คือ เมื่อเทียบกับในอดีตและในภูมิภาค ขณะที่แรงขับเคลื่อนจากสภาพคล่องส่วนเกิน ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติและสถาบัน มีโอกาสลดน้อยถอยลง จาก Market Earning Yield ที่ไม่ค่อยจูงใจ ดังนั้นกลยุทธ์เน้นหุ้นดีดี  (Dividend & Defensive) คือ หุ้นปันผล ชอบ TTW, BBL, LH หุ้นผันผวนต่ำ ADVANC, BDMS, CPALL, BCPG ผสมหุ้นที่มีกระแสเก็งกำไร ชอบ AMATA, STEC!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เงาหุ้น : เงินไหลเข้า

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,411.01 จุด บวก 36.83 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 122,562.18 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,469.57 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด นำโดย BBL ปิด 128 บาท บวก 12.50 บาท, AOT ปิด 67.50 บาท บวก 4 บาท, KBANK ปิด 115 บาท บวก 15 บาท, SCB ปิด 87.75 บาท บวก 11.25 บาท, PTT ปิด 38 บาท บวก 1 บาท

ตลาดหุ้นบวกต่อ โดยปรับตัวขึ้นแรง รับกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้า หลังกระแสเงินทุนในตลาดโลกไหลมาหาผลตอบแทนที่สูง โดยเงินทุนไหลเข้าหุ้นและตราสารหนี้ไทย คาดหวังแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้นตัว ขณะที่ทั่วโลกทยอยคลายล็อกดาวน์ ขณะที่หุ้นแบงก์และท่องเที่ยวบวกแรง

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีนี้ (YTD) ต่างชาติขายสุทธิกว่า 1.9 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า โดยต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 4 วันติดต่อกัน รวม 11,370 ล้านบาท

บล.ทิสโก้ ระบุว่า จากการตรวจสอบเงินทุนต่างประเทศ (Foreign Funds Inflow) ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ มีทิศทางเป็นบวกเกือบทุกตลาดเช่นเดียวกัน โดยในสัปดาห์นี้ (WTD) ไหลเข้าสุทธิแล้วกว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ฯ นับเป็นการไหลเข้าสูงสุดในรอบ 22 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน

เชื่อว่าเงินทุนต่างชาติที่เริ่มไหลกลับเข้าตลาดหุ้นภูมิภาค เป็นผลจากนักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลัง จากการทยอยคลายล็อกดาวน์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้นมหาศาล จากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางหลักในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนกลับมาแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น

หุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของต่างชาติ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1.หุ้นใหญ่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง เช่น หุ้นที่อยู่ใน SET100 Index และ MSCI Global Standard Index 2.หุ้นที่ต่างชาติลดการถือครองลงในปีนี้ เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้ว และเริ่มมีสัญญาณบวกจากแรงซื้อต่างชาติเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ 3.ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside เมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน

ทั้งนี้ แนะ “ซื้อ” ADVANC (เป้าพื้นฐาน 208 บาท), BDMS (25 บาท), CPALL (86 บาท), KBANK (118 บาท), PTTGC (55 บาท), SCB (96 บาท), SCC (372 บาท), CK (23.8 บาท) และ STEC (22 บาท)

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ตัวเลขคนกรุงเทพฯ ว่างงานช่วงโควิด-19 พุ่งสูง คาดคลี่คลายไตรมาสสอง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำรวจสภาวะการครองชีพของครัวเรือนไทยที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วงวันที่ 21-28 พ.ค. 2563 พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้

-อัตราการว่างงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เดือนพ.ค. 2563 อยู่ที่ 9.6% โดยส่วนใหญ่ของจำนวนผู้ว่างงานมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบของ COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ที่ทำให้ครัวเรือนบางส่วนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ

อัตราการว่างงานน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดช่วงไตรมาสที่ 2 และค่อยๆ ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ภายใต้สมมติฐานที่ว่า ไม่มีการแพร่ระบาดซ้ำของไวรัส COVID-19 จนนำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ ครั้งที่ 2

-ครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของเงินออมและการสร้างรายได้หลายช่องทางมากขึ้น หลังเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครัวเรือนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 หันไปค้าขายออนไลน์เพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ในการดูดซับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งเข้ามาแทนที่ภาคเกษตรกรรม

รูปแบบการใช้จ่ายของครัวเรือนกลับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ระมัดระวัง และเร่งสร้างวินัยทางการเงินของตนเองเพิ่มขึ้น จึงเป็นโจทย์เร่งด่วนสำหรับภาครัฐ ทั้งในเรื่องของการออกมาตรการเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับจำนวนผู้ว่างงานใหม่หลังมาตรการเยียวยาสิ้นสุดลง และการออกมาตรการส่งเสริมการออมที่เอื้อต่อแรงงานหลายกลุ่ม

AIS Business ออกบริการใหม่ “จองสบาย” เอาใจร้านค้ารายย่อยจัดคิวลูกค้าผ่านออนไลน์

นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า บริษัท ร่วมมือกับบริษัท เอดี เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ADV  บริษัทในเครือ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการระบบเทคโนโลยีทางมือถือที่มีคุณภาพ พัฒนาดิจิทัลโซลูชัน “จองสบาย” (JongSabuy) ระบบจองคิวออนไลน์ในรูปแบบ Link Website เข้าใช้งานง่ายผ่านมือถือ พร้อมระบบแจ้งยืนยันนัดหมายผ่านอีเมล เพื่อให้ลูกค้าของร้านจองคิวเข้ารับบริการได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยร้านค้าสามารถกำหนดช่วงเวลาและจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการ ทำให้จำกัดจำนวนคนได้ตามมาตรการ Social Distancing พร้อมจัดเตรียมพนักงาน อุปกรณ์ หรือวัตถุดิบ ไว้ให้บริการได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ลูกค้าของร้านก็อุ่นใจได้ว่าจะได้รับบริการอย่างแน่นอน สร้างประสบการณ์การให้บริการที่ปลอดภัย รักษาระยะห่าง อัปสกิลผู้ประกอบการยุคใหม่ ก้าวสู่วิถี New Normal เต็มขั้น

บริการใหม่นี้ จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยให้เดินหน้าทำธุรกิจต่อได้อย่างอุ่นใจ รับคลายล็อกดาวน์เฟส 3 มอบความสะดวก ปลอดภัยทั้งร้านค้าและลูกค้า ด้วยบริการ “จองสบาย” (JongSabuy) เหมาะกับธุรกิจบริการทุกขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็น ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ร้านตัดขนสัตว์ ร้านนวดสปา ฟิตเนส คลีนิค ร้านทันตกรรม ร้านอาหารแบบนั่งรับประทาน ไปจนถึงธุรกิจบริการที่สามารถกำหนดช่วงเวลาให้บริการที่แน่นอน 

พร้อมเปิดให้คนไทย ทุกร้าน ทุกธุรกิจ ทดลองใช้งาน ฟรี! 3 เดือน เมื่อสมัครภายใน 30 มิถุนายน 2563 หลังจากนั้นสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ในราคาสุดคุ้มค่า ถูกที่สุดในตลาด เริ่มต้นเพียงเดือนละ 100 บาทต่อสาขา

·      ประโยชน์ต่อร้านค้า ด้วยความจำเป็นที่ต้องจำกัดจำนวนลูกค้าเข้าใช้บริการตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) “จองสบาย” จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้ร้านค้าสามารถวางแผนบริหารจัดการคิวให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ช่วยควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพนักงาน และอุปกรณ์หรือวัตถุดิบเท่าที่จำเป็นไว้ให้บริการได้อย่างเหมาะสมตามจำนวนลูกค้า พร้อมทั้ง มีรายงานสรุปประวัติการรับบริการในแต่ละวัน ของแต่ละสาขา ซึ่งมาพร้อมบริการรับชำระเงินออนไลน์ ผ่าน Rabbit LINE Pay, Internet Banking และบัตรเครดิต จึงสามารถตั้งค่าให้วางมัดจำล่วงหน้าได้ เพื่อป้องกันการผิดนัดหรือยกเลิก ลดเสี่ยง ลดสัมผัส ไม่ต้องจับเงินสด

·      ประโยชน์ต่อลูกค้า สร้างความสะดวกและสบายใจให้ลูกค้าของร้านจองคิวรับบริการตามช่วงเวลาที่กำหนดได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่าน Link Website หรือ QR Code จองได้จากทุกที่ ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องมารอต่อคิวที่หน้าร้าน และมั่นใจว่าจะได้รับบริการอย่างแน่นอน เพียงแจ้งรหัสรับบริการหรืออีเมลคอนเฟิร์มที่ได้รับจากทางร้าน

ร้านค้าขนาดย่อมและทุกธุรกิจที่สนใจใช้บริการ สามารถแจ้งข้อมูลเพื่อขอใช้งาน ได้ที่เว็บไซต์ http://www.jongsabuy.com และคลิก “ติดต่อเรา” โดยเมื่อสมัครเปิดใช้งานจองสบายแล้ว ร้านค้าจะได้รับ Url เพื่อส่งให้ลูกค้าของร้านใช้จองคิวรับบริการต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถรับฟังสัมมนาออนไลน์เกี่ยวกับการปรับตัวการทำธุรกิจและการวางแผนรองรับลูกค้าสำหรับธุรกิจบริการด้วยระบบจองคิวออนไลน์ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ในวันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563 เวลา 14.00 น. ลงทะเบียนร่วมรับฟังที่ http://m.ais.co.th/jongsabuy

เงาหุ้น : หุ้นปลดล็อกเฟส 3!!

บล.โกลเบล็กประเมินดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากการผ่อนคลาย Lockdown เฟส 3 ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นการผ่อนคลายต่อเนื่องในเฟส 4 ตามมา

ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ประกอบกับกระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติจัดตั้งกองทุน 5 หมื่นล้านบาทช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่เข้าไม่ถึง Soft Loan ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกต่อภาคธุรกิจการลงทุน

ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้น หลังกำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลง และความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังหลายประเทศทยอยปลดล็อกดาวน์ ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยโกลเบล็กประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,330-1,385 จุด

ขณะที่ต้องจับตาปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ทั้งการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง และการปะทุรอบใหม่ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งเหตุจลาจลในสหรัฐอเมริกาหากมีการขยายวงกว้างและยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ด้านปัจจัยภายในประเทศ เริ่มมีความไม่แน่นอนของเสถียรภาพการเมือง ปัญหาภัยแล้งในประเทศที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ และกำลังซื้อของเกษตรกรที่ลดลง

สำหรับหุ้นน่าลงทุน หลังจากการปลดล็อกเฟส 3 คือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการผ่อนคลาย อาทิ SPA, MAJOR, CRC, CPN, SF และ HMPRO

ด้านสถานการณ์ราคาทองคำขณะนี้ ได้แรงบวกจากกรณีที่สหรัฐฯตัดสิทธิพิเศษฮ่องกง หลังจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่เพื่อปกครองฮ่องกง นอกจากนี้การจลาจลในสหรัฐฯกว่า 50 เมือง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงและหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น ส่งผลให้คาดว่าราคาทองคำจะผันผวนในกรอบ 1,715 – 1,760 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ หรือ 25,790-26,530 บาทต่อบาททองคำ

แนะกลยุทธ์ให้เน้นซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวและขายทำกำไรที่แนวต้าน!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ก.ล.ต. เผย 11 วิธีป้องกันโดนล้วงข้อมูลในยุค New Normal

เผย ปี 62 ไทยติด 5 อันดับแรกของโลกที่มีการแฮ็กข้อมูลมากสุด ขณะที่ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด มีการแฮ็กข้อมูลเพิ่มขึ้น 76.8% จากทุกประเทศทั่วโลก เตือนภัยไซเบอร์ยุค New Normal มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยคุกคามไซเบอร์  กล่าวในงาน “New Normal กับภัยไซเบอร์” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กรมักปลอดภัยมากกว่าระบบที่บ้าน รวมถึงระบบส่วนตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากมีฝ่ายไอทีองค์กร และระบบป้องกันภัยไซเบอร์ต่างๆ ดูแลอยู่ มิจฉาชีพจึงเลือกล้วงข้อมูลจากระบบส่วนตัวมากกว่า เพราะทำได้ง่าย การป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางไซเบอร์มี 11 วิธีง่ายๆ คือ

ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยคุกคามไซเบอร์

1. Set some priorities ในระบบส่วนตัวของเรา จำเป็นต้องมีไพรออริตี้ 20 อย่าง หรือที่เรียกกันว่า CIS CONTROLS ซึ่งจะมีลิสต์ว่าจะต้องป้องกันอะไรบ้างในระบบ โดยเมื่อเราเข้าไปตั้งค่าก็จะช่วยป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เราได้ในระดับหนึ่ง

   2. Think before you click ไม่คลิกข้อความที่ส่งมาโดยไม่รู้แหล่งที่มา หรือไม่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการโดนล้วงข้อมูลของตัวเราเอง

   3. Don’t get phished คนร้ายมักหลอกล่อเหยื่อด้วยการส่งข้อมูลบางอย่างให้เเหยื่อหลงเข้าไปคลิกและล้วงข้อมูลไป เช่น ข้อความข่มขู่ให้กลัวว่าเราได้กระทำความผิดบางอย่าง หรือล่อใจด้วยการให้รางวัล ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราต้องรู้ว่าหน่วยงานนั้นมีจริงหรือไม่ และเมื่อได้รับข้อความเหล่านั้นควรโทรศัพท์ไปตรวจสอบกับหน่วยงานนั้นๆ เสียก่อน

   4. Go beyond the password หยุดตั้งรหัสผ่านที่สามารถคาดเดาได้ง่าย เช่น “12345” หรือวันเดือนปีเกิด การจะตรวจสอบว่ารหัสผ่านของเรานั้นปลอดภัยหรือไม่ สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ใน passwordmaster.com โดยเข้าไปกรอกรหัสผ่านที่ต้องการใช้ ระบบจะประมวลผลว่ารหัสผ่านนั้นปลอดภัยระดับไหน ซึ่งรหัสผ่านเป็นความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน จึงไม่ควรมองข้ามขั้นตอนเล็กๆนี้โดยเด็ดขาด

   5. Keep it fresh หมั่นอัพเดทระบบปฏิบัติการณ์อยู่เสมอ ซึ่งช่วยทำให้มีความปลอดภัยทางระบบสูงสุด โทรศัพท์มือถือที่ไม่สามารถอัพเดทระบบได้ จะมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หากเป็นไปได้ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือประเภทดังกล่าว โดยจากสถิติที่ผ่านมาพบว่า 80% เป็นการแฮกข้อมูลจากระบบปฏิบัติการที่ไม่สามาถอัพเดทได้

   6. Reflect, them connect การใช้ไวไฟฟรี ตามสถานที่ต่างๆ มีความเสี่ยงในการถูกล้วงข้อมูล และหากเป็นสัญญาณไวไฟที่ขอข้อมูลส่วนตัว เช่นเบอร์โทรศัพท์มือถือ อาจนำไปสู่การถูกล้วงข้อมูลได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช่ไวไฟฟรี

   7. Shop smart, shop secure ไม่ควรผูกบัตรเครดิตกับการจ่ายเงินออนไลน์ ควรทำธุรกรรมออนไลน์เป็นครั้งๆ และทิ้งเงินบัญชีที่มีการตัดเงินอัตโนมัติเป็นจำนวนน้อยเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกล้วงข้อมูล

   8. Avoid configuration confusion ไม่ควรนำบัญชีที่มีเงินจำนวนมากๆ ไปผูกกับระบบออนไลน์เพื่อป้องกันความเสี่ยงโดนล้วงข้อมูล และควรตั้งค่าการทำธุรกรรมออนไลน์ให้มีจำนวนน้อยที่สุด

   9. Don’t be the bully  ไม่โพสต์บนโซเชียลมีเดียที่หมิ่นเหม่ ซึ่งหากไม่ระมัดระวังอาจจะเป็นความผิดได้ เช่นเผลอไปถ่ายรูปแล้วติดใครบางคน และนำภาพดังกล่าวไปโพสบนโลกออนไลน์ก็อาจมีความผิดในการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวได้ ดังนั้นก่อนโพสต์ต้องคิดให้รอบครอบ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เราต้องตระหนักในยุค New Normal อย่างมาก

   10. Charge with caution พยายามหลีกเลี่ยงกาาใช้แท่นชาร์ตสาธารณะตามสถานที่ต่างๆ เช่นที่สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้าเ พราะอาจมีความเสี่ยงที่จะโดนล้วงข้อมูล ควรเตรียมแบตเตอรี่สำรองของตัวเอง

   11. If it matters use multifactor ควรใช้รหัสป้องกันสองชั้น นอกเหนือจาก Username และ Password เช่น Google authenticator หรือ microsoft authenticator ซึ่งระบบดังกล่าวจะมีรหัส 6 หลัก ป้องกันอีกชั้นหากมีการใส่รหัสผ่านถูกต้อง

ทั้งนี้ ในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด ทั่วโลกมีการแฮกข้อมูลเพิ่มขึ้น 76.8% ส่วนประเทศไทยยังติด 5 อันดับแรกในการโจมตีทางไซเบอร์เมื่อปี 62 อีกด้วย

ส่วนการแฮ็กข้อมูลทางธุรกิจจากองค์กรต่างๆ ส่วนใหญ่มักใช้อีเมลเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงฝ่ายไอที โดยมีเป้าหมายหลอกแผนกบัญชี หรือแผนกที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบไอที ซึ่งมิจฉาชีพจะสวมรอยเป็นลูกค้า โดยมีการใช้โดเมนที่ใกล้เคียงกันทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ และส่วนใหญ่มิจฉาชีพจะเสนอให้เปลี่ยนบัญชีธนาคารที่โอนเงิน เพื่อให้เป้าหมายโอนเงินออกไปสู่บัญชีปลอม

ดังนั้น โดเมนก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากไม่อยากให้มิจฉาชีพสวมรอยง่ายๆ ควรมีวิธีจดทะเบียนโดเมนหลายโดเมน ที่มีความคล้ายคลึงกับเว็บไซต์ของเราที่อาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ เช่นที่ “Google” จดโดเมน “Gooogle” ป้องกันการถูกลอกเลียนแบบจากมิจฉาชีพอยู่แล้ว ซึ่งหากนำวิธีนี้ไปใช้ก็จะสามารถป้องกันการถูกแอบอ้างเว็บไซต์ที่จะมาเลียนแบบเว็บไซต์ของเรา โดยอาศัยความคล้ายคลึงกันได้
 
นอกจากนั้น การแฮ็กข้อมูลในยุคนี้ บางครั้งก็เป็นแค่การสร้างข้อมูลปลอมเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนเท่านั้น ดังนั้นการเสพโซเชียลมีเดียในยุคนี้ต้องชัวร์ก่อนแชร์ ขณะเดียวกัน ภัยที่น่ากลัวกว่าข่าวปลอมคือการสร้างการ์ตูนด้านลบ หรืออินโฟกราฟฟิกด้านลบของบุคคลหรือสถาบันใดสถาบันหนึ่งขึ้นมาลงโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่เป็นระยะๆ เพื่อตอกย้ำด้านลบ โดยต้องการให้คนในสังคมมีทัศนคติด้านลบกับเป้าหมาย

นายกำพล ศรรนะรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. สายเทคโนโลยีและประสิทธิภาพองค์กร กล่าวปิดท้ายว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทต่างๆ อนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาด ในอนาคตการทำงานที่บ้านจะเป็นเรื่องปกติ คลาวด์ซอสซิ่งจะเป็นสิ่งที่บริษัทต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้น

กำพล ศรรนะรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.

ทั้งนี้ การพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น เราก็จะเจอความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยที่ผ่านมา ได้เห็นการแฮกข้อมูลขององค์กรชั้นนำต่างๆ มากมาย นำมาสู่ความเสียหายขององค์กรแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีมูลค่าจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักรู้ และให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากขึ้น

CPF Food Truck ผลงานเข้าตา “จุรินทร์” ขอบคุณซีพีเอฟช่วยเหลือต่อเนื่อง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มอบอาหารอุ่นร้อนจากรถ CPF Food Truck ใน “โครงการอาหารปลอดภัยจากใจ…สู่ชุมชน” ให้แก่ชาวชุมชนบางพลัด ซึ่งจัดโดยกระทรวงเกษตรฯและซีพีเอฟ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมชื่นชมไอเดียใช้รถ Food Truck ทำโครงการเพื่อสังคมได้ลงตัวและเหมาะสม โดยมีผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมด้วย ที่สำนักงานเขตบางพลัด

นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟเป็นภาคเอกชนที่ให้การช่วยเหลือประชาชนและสังคมไทยในการต้านภัยโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ นำอาหารมาลดราคาพิเศษเพียง 20.- บาทในโครงการ “ลดจริง..ไม่ทิ้งกัน ช่วยค่าครองชีพ” ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีแล้ว ยังได้นำรถ CPF Food Truck ออกช่วยเหลือ มอบอาหารอุ่นร้อนให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ นับเป็นองค์กรที่มีน้ำใจและมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างน่าชื่นชม

“โครงการอาหารปลอดภัย จากใจ…สู่ชุมชน ในวันนี้ ทำให้ได้เห็นอีกความตั้งใจของภาคเอกชนที่ริเริ่มนำรถ CPF Food Truck มาอุ่นอาหารร้อนๆ สร้างบรรยากาศกิจกรรมการช่วยเหลือสังคมได้ในอีกรูปแบบหนึ่งและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ให้พี่น้องประชาชนรับรู้ว่ากำลังจะมีอาหารมาเสริฟแล้ว ถือเป็นไอเดียที่ดี นอกเหนือไปจากน้ำใจที่คนไทยมีให้คนไทยด้วยกัน”

ด้านนายประสิทธิ์ กล่าวว่า ซีพีเอฟดำเนินโครงการอาหารปลอดภัย จากใจ…สู่ชุมชน อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 13 แล้ว โดยนำอาหารจากร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท มาอุ่นร้อนบนรถ CPF Food Truck ซึ่งมีตู้อุ่นร้อนขนาดใหญ่ สามารถอุ่นอาหารพร้อมกันได้ครั้งละ 100 กล่อง ทำให้ประชาชนได้รับประทานอาหารอุ่นร้อนๆได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่ชื่นชอบของชาวชุมชน

กิจกรรมครั้งนี้ จะแจกต่อเนื่องทุกวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ โดยจะขยายความช่วยเหลือไปยังเขตบางขุนเทียน บางบอนและหนองแขมต่อไป