Home Blog Page 3

ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากฉบับเดิม เพื่อยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้กรอบกฎหมายและกฎเกณฑ์ของแต่ละองค์กร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 โดยการประสานความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำความมุ่งมั่นของ 2 องค์กรในการกำกับดูแล เพื่อให้ตลาดทุนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นธรรม น่าเชื่อถือ และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุน รวมทั้งพัฒนาตลาดทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศต่อไป

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแลให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่

  • การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน
  • การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ
  • การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย
  • การออกระเบียบข้อบังคับ หรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแลระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียนหลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการพิจารณามีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น

อีกทั้ง บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงานและการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนาตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อนร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้

(1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุงพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

(2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจ
ให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่นที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุนการขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้

(3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน

(4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment) ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและ
ภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เลือกซื้อเนื้อหมูอย่างไร ให้ปลอดภัยไร้สารเร่งเนื้อแดง

สัตวแพทย์ ม.มหิดล ระบุประเทศไทยมีการเลี้ยงและการผลิตสุกรที่ดีตามมาตรฐานสากล พร้อมแนะเลือกซื้อเนื้อหมูให้ปลอดภัยจากฟาร์มผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่ได้รับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ สังเกตได้จาก ตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” หรือ เลือกเนื้อหมูที่มีสีชมพู ไม่แดงจัด ฉ่ำน้ำ มีมันแทรก เนื้อนุ่มไม่แข็งกระด้าง หลีกเลี่ยงเนื้อหมูที่มีลักษณะแห้งแดง มันน้อย เนื้อมาก เพราะมีความเสี่ยงที่จะใช้สารเร่งเนื้อแดง ย้ำผู้บริโภคควรรับประทานเนื้อหมูปรุงสุกเพื่อความปลอดภัย

ผศ.ดร.น.สพ.ดุสิต เลาหสินณรงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงและการผลิตสุกรได้มาตรฐานสากล มีการพัฒนาคุณภาพของเนื้อหมูและประสิทธิภาพการผลิตตามมาตรฐานตลอดห่วงโซ่มาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการบริหารจัดการป้องกันโรคและการเลี้ยงสุกรที่เหมาะสม (Good Agricultural Practices; GAP) การจัดการให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ตลอดจนการปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีทั้งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และหุ่นยนต์ มาใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์และขบวนการแปรรูป เพื่อให้เนื้อหมูมีคุณภาพดีและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ล่าสุดจากกรณีที่กรมปศุสัตว์ บุกทลายสถานที่ผลิตสารเร่งเนื้อแดงและยาสัตว์เถื่อนรายใหญ่ที่จังหวัดนครปฐม พร้อมตรวจยึดของกลางทั้งยาสัตว์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและอาหารสัตว์ที่ต้องสงสัยว่ามีการผสมสารเร่งเนื้อแดงนั้น อาจทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลถึงความไม่ปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู ขอแนะนำว่าการเลือกซื้อเนื้อหมูเพื่อป้องกันสารเร่งเนื้อแดง ให้พิจารณาจากตัวผลิตภัณฑ์และเลือกแหล่งจำหน่ายเป็นสำคัญ

สำหรับวิธีการสังเกตและเลือกซื้อเนื้อหมู กรณีไม่ทราบแหล่งที่มา ให้สังเกตจากลักษณะของเนื้อหมู เนื้อเป็นสีชมพู ไม่แดงจัด ฉ่ำน้ำ มีน้ำแทรกซึมอยู่ในเนื้อหมู มีมันแทรก มีความสด จิ้มลงไปแล้วมีความนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง ไม่มีสีคล้ำเขียวและไม่มีกลิ่นเหม็น หากเนื้อหมูมีลักษณะแห้งแดง มันน้อย เนื้อมาก ควรเลี่ยงเพราะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะใช้สารเร่งเนื้อแดง

ที่สำคัญควรซื้อเนื้อหมูที่อยู่ในตู้แช่เย็น ไม่วางบนเขียงที่อุณหภูมิปกติเพราะเนื้อหมูเป็นของสด เน่าเสียได้ การเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เย็น เป็นการคงสภาพความสดของเนื้อสัตว์ไว้ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าต้องเลือกซื้อเพียงเฉพาะร้านที่มีตู้แช่เย็นเท่านั้น แต่การเก็บของสดในตู้เย็นเป็นระบบการเก็บรักษาอาหารขั้นพื้นฐาน

นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ได้การรับรองจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหาร มีตราสัญลักษณ์ ตราสินค้า หรือมีเครื่องหมาย “ปศุสัตว์ OK” รับรองความปลอดภัย สามารถตรวจสอบแหล่งผลิตต้นทางได้ว่าหมูมาจากฟาร์มไหน ซึ่งกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ มีมาตรการกำกับดูแลทุกขั้นตอนในการผลิต และการป้องกันการใช้ยา ทำให้เชื่อมั่นได้ในความปลอดภัย

ผศ.ดร.น.สพ.ดุสิต ย้ำว่า การรับประทานเนื้อหมูให้ปลอดภัย ต้องปรุงสุกใหม่ ด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูงมากกว่า 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อโรคที่อาจติดมาและทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคไข้หูดับ โรคพยาธิ หรือ โรคที่ทำให้เกิดท้องเสีย ทั้งนี้ ยังคงยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อสุขอนามัยที่ดี.

โรงงานปลาป่น จ.สมุทรสาคร รายงานจำนวนปลาหมอคางดำส่งเข้าโรงงานลดน้อยลง

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่น บริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ปลาหมอคางดำในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียงมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยสะท้อนจากปริมาณปลาหมอคางดำที่ชาวประมงนำมาส่งที่โรงงานปลาป่นลดลง

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายปรีชา ร่วมประชุมกับ นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และตัวแทนกลุ่มประมง โดยมีศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุม พร้อมกับนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นายอิทธิ ศิริลัทยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพูดคุยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการประมงและการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ในที่ประชุม นายปรีชากล่าวว่า ความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐ, เอกชน, ชาวประมง และชุมชน ส่งผลให้ปลาหมอคางดำในพื้นที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจำนวนปลาที่ส่งเข้ามาที่โรงงานปลาป่นลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

โรงงานได้ร่วมกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในการรับซื้อปลาหมอคางดำเป็นวัตถุดิบผลิตปลาป่น โดยในปัจจุบันได้มีการจัดซื้อปลาหมอคางดำแล้ว 2,000,000 กิโลกรัม เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นายปรีชายังเสริมว่า เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้นำปลาหมอคางดำมาใช้เป็นอาหารสำหรับปลากะพง ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต และใช้เป็นปลาเหยื่อสำหรับการตกปลาและตกปู ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่

จากความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาปลาหมอคางดำของทุกภาคส่วน ส่งผลดีต่อชุมชนและระบบนิเวศในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร.

ปลาหมอคางดำ…จากปัญหาสู่โอกาส สร้างสรรค์เมนูอาหารทานได้ทั่วไทย

ปลาหมอคางดำ ที่เคยเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนผนึกพลังช่วยกันกำจัดและควบคุมประชากรอย่างเข้มข้น จนส่งผลให้ทุกวันนี้ปริมาณปลาหมอคางดำลดลงในทุกจังหวัดที่ประกาศพบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ หนึ่งในแนวทางที่ช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การนำปลาชนิดนี้มาใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ใช้เป็นวัตถุดิบมาปรุงอาหารบริโภคในครัวเรือน แปรรูปเป็นเมนูอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่เพียงช่วยหยุดการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ยังพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างความมั่นคงทางอาหารและทางเศรษฐกิจให้กับคนไทย

จากการรณรงค์ให้ทุกคนทุกหน่วยงานมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ นอกจากจะนำไปทำปลาป่นหรือเป็นอาหารให้กับเป็ด ปลาหมอคางดำสามารถบริโภคได้ เป็นแหล่งโปรตีนที่มีรสชาติใกล้เคียงกับปลานิลที่เป็นปลายอดนิยมของคนไทย กระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคเมนูปลาหมอคางดำกันอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้หลายจังหวัดเกิดการสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำที่หลากหลาย ได้ทั้งเมนูคาว หวาน อาทิ น้ำยาขนมจีนปลาทอดกระเทียมพริกไทย ปลาผัดฉ่า แกงส้ม น้ำพริก สามารถพัฒนาเป็นของทานเล่น อย่าง ข้าวเกรียบปลา หรือทำเป็นอาหารฟิวชั่น เช่น สเต๊กปลา ซูชิปลา เป็นเมนูขึ้นโต๊ะระดับภัตตาคารก็อร่อยไม่แพ้กัน

ที่ผ่านมา หลายจังหวัดยังได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านช่วยกันจับขึ้นมาบริโภคในครัวเรือน โดยเฉพาะในจังหวัดนนทบุรีที่ครัวเรือนที่อยู่ริมคลองได้ช่วยกันจับปลาขึ้นมาบริโภคทุกวัน ซึ่งมีส่วนช่วยกำจัดปลาหมอคางดำวันละ 10-20 กิโลกรัมเป็นการช่วยลดจำนวนปลาหมอคางดำได้รวดเร็ว นอกจากการรับประทานกันเองในครัวเรือน หลายชุมชนยังได้ระดมสมองรังสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ จากปลาหมอคางดำ นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้มีการบริโภคอย่างกว้างขวาง เมนูพิเศษยังช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนและชิมเมนูอร่อยที่สร้างสรรค์จากปลาหมอคางดำกันมากขึ้น จากเฟซบุ๊คของโรงแรมชั้นนำ 2 แห่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างโรงแรมทวินโลตัสร่วมมือกับจังหวัดและกรมประมง จัดกิจกรรมแข่งขัน Food Festival ค้นหาสุดยอดเมนูปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการลด-กำจัดปลาหมอคางดำให้เกิดประโยชน์ โดยการแปรรูปปลาหมอคางดำและสามารถนำไปสร้างรายได้ในอนาคต และยังได้โชว์ภาพเมนูพิเศษจากปลาหมอคางดำ เช่น เมนูข้าวผัดน้ำพริกปลาหมอคางดำ พิซซ่าหน้าปลาหมอคางดำ สปาเก็ตตี้ผัดพริกกระเทียมกับปลากรอบ ส่วนโรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พัฒนาเมนูอาหารจีนจากปลาหมอคางดำให้นักท่องเที่ยวได้เลือกรับประทาน และยังพัฒนาเป็นเมนูเครื่องดื่ม “แตงโมปลาแห้ง” นำแตงโมมาทำเป็นกรานิต้า หวานเย็น เสิร์ฟพร้อมกับแตงโมหั่นเต๋าท็อปหน้าด้วยปลาหมอคางดำป่นอบแห้ง เพื่อสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาพักโรงแรม

ขณะเดียวกัน ยังมีตัวอย่างการแปรรูปปลาหมอคางดำให้เป็นเมนูนิยมประจำท้องถิ่นอีกหลายเมนู อาทิ น้ำพริกหนุ่ม แหนม ปลาแดดเดียว ปลารมควัน ปลาร้า น้ำปลา ซึ่งเมนูเหล่านี้สามารถยกระดับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากการจำหน่ายทั้งในชุมชนและส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ

“จิตรกร บัวดี” เกษตรกรชาวเพชรบุรีได้นำปลาหมอคางดำมาใช้เป็นวัตถุดิบหมักเป็น “น้ำปลาแท้” ตราชาววังเพื่อจำหน่ายในชุมชน และยังได้ร่วมมือกับกรมประมงและกรมราชทัณฑ์ ถ่ายทอดความรู้การผลิตน้ำปลาให้กับผู้ต้องขังเรือนจำกลางสมุทรสงครามพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ “น้ำปลา ตราหับเผย แม่กลอง” และให้ผู้ต้องขังได้มีทักษะอาชีพในอนาคตต่อไป

การแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำปัญหาสิ่งแวดล้อมมาสร้างเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่า ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น ทั้งในด้านการผลิต การแปรรูป การจัดจำหน่าย จากวิกฤติปัญหา สู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางเศรษฐกิจทั้งในระดับครัวเรือนและระดับชุมชนอีกด้วย

บางจาก จับมือ CPF ร่วมสร้างพลังงานแห่งอนาคต นำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วผลิต SAF

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านความยั่งยืนทางธุรกิจ ในเรื่องการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ระหว่าง นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากฯ และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ โดยมี นางกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจากฯ และนางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ ลงนามเป็นสักขีพยาน พร้อมด้วยผู้บริหารบางจากฯ ซีพีเอฟ และบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทบางจาก ร่วมงาน ณ อาคาร ซีพี ทาวเวอร์ ถนนสีลม

ภายใต้ความร่วมมือนี้ บางจากฯ และซีพีเอฟ จะร่วมกันบริหารจัดการการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว รวมถึงไขมันต่าง ๆ จากธุรกิจผลิตอาหารและไขมันจากบ่อบำบัดน้ำเสียของซีพีเอฟและบริษัทในเครือ เพื่อผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) โดยบีเอสจีเอฟ

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากฯ กล่าวว่า ขอบคุณ CPF ซึ่งเป็นครัวไทยรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศ ที่เข้าร่วมโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” เพื่อนำไปผลิต SAF พลังงานแห่งอนาคต นอกจากจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG แล้ว ยังเป็นการสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมด้าน ESG ซึ่งถือเป็นแกนหลักของความยั่งยืนในปัจจุบัน เพราะไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมในด้านการดำเนินธุรกิจ แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้

“ความร่วมมือระหว่างบางจากฯ และซีพีเอฟในครั้งนี้ ช่วยสร้างประโยชน์ในหลายมิติ นอกจากการเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียจากกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์แบบ ยังส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ผ่านการนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากร้านอาหารในเครือซีพีเอฟ เช่น เชสเตอร์,ห้าดาว กระทะเหล็ก ข้าวมันไก่ ไห่หนาน ฯลฯ เข้าร่วมโครงการ “ไม่ทอดซ้ำ” และ “ทอดไม่ทิ้ง” ซึ่งเป็นโครงการที่บีเอสจีเอฟร่วมดำเนินการกับพันธมิตรหลักผู้ริเริ่มโครงการ คือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มาตั้งแต่ ปี 2565 โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันขยายเครือข่ายผู้ประกอบการที่มีความตระหนักในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในการดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีให้คนไทย ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคราชการ เอกชน และผู้ประกอบการ ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการและส่งต่อน้ำมันปรุงอาหารเพื่อผลิต SAF มากกว่า 800 จุดทั่วประเทศ ซึ่งการแปรรูปน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเป็น SAF จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงการบินแบบดั้งเดิม ช่วยตอบโจทย์การแก้ไขวิกฤตสภาวะภูมิอากาศ”

ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อกายและดีต่อใจ ขณะที่บางจากฯ มีนวัตกรรมที่สามารถนำน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้วจากกระบวนการผลิต เพื่อผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่าและหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวคิด Sustainovation ของซีพีเอฟที่นำนวัตกรรมมาช่วยตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารและการบริโภคอย่างยั่งยืน จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil : UCO) รวมถึงไขมันต่าง ๆ จากธุรกิจผลิตอาหาร และไขมันจากบ่อบำบัดน้ำเสียของซีพีเอฟ นำไปผลิตน้ำมัน SAF นอกจากนี้ ยังมีแนวการศึกษาที่อาจมีการขยายผลไปยังธุรกิจของกลุ่มซีพีเอฟในต่างประเทศในอนาคต

“ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของทั้งสองบริษัท และถือเป็นหนึ่งในการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ climate action โดยการบริหารการลดของเสียจากกระบวนการผลิตที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมให้มีมูลค่า ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างครบวงจร หรือ Circular Economy”

สำหรับความคืบหน้าของการเตรียมเดินเครื่องหน่วยผลิต SAF ของบีเอสจีเอฟ ในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง กำลังดำเนินการตามแผนไปประมาณกว่า 70% ณ ปัจจุบัน และจะเริ่มผลิตในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน.

gettgo ฉลองครบรอบ 7 ปี มอบของขวัญครั้งใหญ่ในแคมเปญ “gettgo 7th Anniversary”

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 อย่างเต็มภาคภูมิ กับบริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด หรือ “gettgo” แพลตฟอร์มเปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ที่อยู่เคียงข้างทุกไลฟ์สไตล์ของคนไทยตลอดมา ที่ไม่เพียงส่งมอบความคุ้มครองที่ตรงใจเท่านั้น แต่ยังเจาะลึกถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การซื้อประกันออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น และในวันครบรอบปีที่ 7 นี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้คืนความสุขให้ลูกค้า ด้วยการมอบของขวัญในแคมเปญ “gettgo 7th Anniversary”

นายวรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด  เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบปีที่ 7 ของ gettgo  เรายังคงมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์ความต้องการด้วยการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงบริการเสริมที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ทุกช่วงวัย ได้อย่างตรงจุดและตรงใจให้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอกย้ำสโลแกน “รู้จุดเด่น เห็นจุดต่าง”

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าคนสำคัญ gettgo  ได้จัดกิจกรรมพร้อมโปรโมชันสุดพิเศษในแคมเปญ “gettgo 7th Anniversary” เมื่อลูกค้าซื้อประกันภัยประเภทใดก็ได้กับ gettgo ผ่านทางเว็บไซต์ www.gettgo.com หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทางโทรศัพท์ (Telesale) จะได้รับสิทธิ์ในการลุ้นของรางวัล โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งหรือจำนวนกรมธรรม์ในการซื้อ

โดยลูกค้า gettgo ที่ซื้อประกันภัยประเภทใดก็ได้ ทางบริษัทฯ จะทำการรวบรวมข้อมูลและประเภทของประกันภัยออกเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวดประกันรถยนต์ (Motor), หมวดประกันสุขภาพ (So You) และหมวดประกันอื่น ๆ (Non-Motor) เพื่อนำไปเรียงลำดับตามวันที่และเวลาที่ลูกค้าทำรายการซื้อสำเร็จและหาผู้โชคดี เพื่อรับรางวัลสุดพิเศษ ประกอบด้วย Smart Watch Garmin Vivo Active 5 จำนวน 3 รางวัล สำหรับผู้โชคดีที่สั่งซื้อสำเร็จในหมวดประกันภัยประเภทใดก็ได้ ลำดับที่ 77, 777 และ 7,777   รางวัล  Shopee Discount Code 300 บาทจำนวน 400 รางวัล รางวัล PT  e-Coupon ส่วนลดแทนเงินสดสำหรับเติมน้ำมัน 300 บาท จำนวน 500 รางวัล สำหรับหมวดประกันรถยนต์ และหมวดประกันอื่นๆ ทุกเลขลำดับที่หารด้วย 7 ลงตัว  และรางวัล  Central Voucher มูลค่า 1,500 บาท สำหรับหมวดประกันสุขภาพ โดยจะได้รับรางวัลเมื่อทำการซื้อประกันสุขภาพ  So You ที่รับประกันภัยโดย บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต สำเร็จ จำนวน 100 กรมธรรม์แรกเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือความพิเศษที่ gettgo สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้าทุกท่าน ซึ่งลูกค้าสามารถรับสิทธิ์จากแคมเปญ “gettgo 7th Anniversary” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 โดยบริษัทฯ จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลทาง www.gettgo.com และ Facebook Page gettgo ในวันที่ 30 มกราคม 2568 โดยส่ง SMS และอีเมลแจ้งให้ผู้ได้รับรางวัลทราบเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 7 วันนับจากวันที่ประกาศผลเป็นต้นไป

ในปีนี้และปีต่อๆ ไป gettgo ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อความคุ้มครองให้ทุกคน และฝากติดตามผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่กำลังจะตามมาในอนาคต เพื่อเข้าถึงและตอบโจทย์ทุกคนได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขการร่วมแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่  www.gettgo.com 

AIS จับมือ Red Bull เปิดสังเวียนตีป้อมระดับมหาวิทยาลัยสุดยิ่งใหญ่ “AIS 5G eSports U Series Thailand Championship 2024 by Red Bull”

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เดินหน้าผลักดันวงการเกมและอีสปอร์ตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดผนึกกำลังร่วมกับ Red Bull เปิดพื้นที่ให้เหล่าเกมเมอร์และนักกีฬาอีสปอร์ตได้แสดงความสามารถกับเวทีการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตระดับมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย AIS 5G eSports U Series Thailand Championship 2024 by Red Bull โดยในปีนี้ได้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษากว่า 10 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ชั้นนำทั้ง มาม่า ทรอส พร้อมด้วย บีลิงค์ มีเดีย ที่จะมาร่วมกันขับเคลื่อนวงการให้ยกระดับสู่สากลและเฟ้นหาเยาวชนที่มีฝันในการเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพตัวจริง ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท

คุณรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ รักษาการหัวหน้าแผนกงานบริหารธุรกิจเกม AIS กล่าวว่า “วันนี้การเติบโตของอุตสาหกรรมเกมในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกมเมอร์ในประเทศไทยที่มีผู้เล่นกว่า 42 ล้านคน เป็นผู้เล่นเกมมือถือสูงถึง 85%  และมีผู้รับชมการแข่งขันอีสปอร์ตอยู่ 6.4 ล้านคน เป็นตัวเลขที่ยืนยันให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเข้าไปสนับสนุน ยกระดับวงการเกมและอีสปอร์ตของประเทศให้มีความพร้อมต่อการผลักดันการเติบโตของ Digital Economy ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในหลากหลายรูปแบบและวิธีการ ร่วมถึงการเปิดพื้นที่ให้น้องๆ เยาวชนที่มีใจรักการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตได้แสดงความสามารถ

วันนี้เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับ Red Bull เตรียมเปิดเวทีการแข่งขันอีสปอร์ตระดับมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับ AIS 5G eSports U Series Thailand Championship 2024 by Red Bull ที่ครั้งนี้เราได้เข้าไปทำงานร่วมกับภาคการศึกษาอย่างสถาบันในระดับอุดมศึกษากว่า 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสให้น้องๆ ได้มีเวทีในการแสดงความสามารถ ที่เราเชื่อว่าจะสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาทักษะการเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพทั้งในระดับประเทศ และก้าวสู่การแข่งขันระดับโลกต่อไป”

คุณมัลลิกา เหลืองนิมิตรมาศ ผู้อำนวยการ สายงานการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มให้พลังงาน แบรนด์ Red Bull กล่าวว่า “Red Bull มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน AIS 5G eSports U Series Thailand Championship 2024 by Red Bull เพราะเราเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมเยาวชนไทยในการพัฒนาทักษะและความสามารถผ่านกีฬาอีสปอร์ต การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและปลุกพลังให้กับนักกีฬาอีสปอร์ตรุ่นใหม่ที่จะก้าวสู่ระดับสากล สอดคล้องกับความตั้งใจของ Red Bull ที่ต้องการช่วยเติมเอเนอร์จี้ให้เหล่าเกมเมอร์ได้สนุกและสุดกับทุกเกมการแข่งขัน”

สำหรับ “AIS 5G eSports U Series Thailand Championship 2024 by Red Bull” ในปีนี้ยังคงใช้เกม ROV มาแข่งขัน โดยคัดเลือกนักกีฬาที่เป็นตัวแทนจาก 10 มหาวิทยาลัยภายใต้ความร่วมมือ มหาวิทยาลัยละ 1 ทีม ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน, มหาวิทยาลัยศรีปทุม, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และการคัดเลือกอีก 6 ทีม จากการแข่งขันในรอบ OPEN ที่เปิดรับจากน้องๆ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รวมทั้งหมด 16 ทีม เพื่อเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศต่อไป ติดตามรายละเอียดการรับสมัครที่ Facebook https://www.facebook.com/AiseSportsTournament

AIS 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 16 และ iPhone 16 Plus

AIS 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่มาพร้อมกับชิป A18 ใหม่ทั้งหมด, Camera Control, การอัปเกรดที่ทรงพลังให้กับระบบกล้องขั้นสูง, ปุ่ม Action เพื่อเข้าถึงคุณสมบัติที่มีประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว, และการเพิ่มขึ้นของอายุการใช้งานแบตเตอรี่; iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max มาพร้อมกับชิป A18 Pro ที่มีประสิทธิภาพ CPU ชั้นนำของตลาด, หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น, Camera Control, คุณสมบัติกล้องระดับมืออาชีพที่ล้ำสมัย, และการเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่มหาศาล; ชุด iPhone 16 ยังสร้างขึ้นสำหรับ Apple Intelligence ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ส่วนบุคคลที่ใช้งานง่ายและเข้าใจบริบทส่วนบุคคล เพื่อให้ข้อมูลที่มีประโยชน์และตรงประเด็น ในขณะที่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้[1]

Apple Watch Series 10 นาฬิกา Apple ที่บางที่สุดในปัจจุบัน, มาพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดและล้ำหน้าที่สุดในบรรดานาฬิกา Apple ทั้งหมด, การชาร์จที่เร็วขึ้น, การวัดความลึกและอุณหภูมิของน้ำ และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายจาก watchOS 11; Apple Watch Ultra 2 ในสีดำใหม่ที่น่าทึ่งพร้อมสาย Titanium Milanese Loop ใหม่; การออกแบบใหม่ทั้งหมดสำหรับ AirPods 4 และ AirPods 4 ที่มาพร้อมกับ ANC; และสีใหม่ๆ ที่หลากหลายสำหรับ AirPods Max

ลูกค้าสามารถสั่งจองล่วงหน้า iPhone 16 ได้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2567 โดยจะพร้อมจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายน 2567 สินค้าใหม่จาก Apple Watch และ AirPods โปรดตรวจสอบวันว่างจำหน่ายอีกครั้ง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.th

CP เปิดตัว ‘หมูฮ้อง สูตรภูเก็ต และ ขาหมูพะโล้’ อร่อยติดมันเด้งดึ๋ง ตอบโจทย์คนรักเมนูตุ๋นต้นตำรับ

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ CP “หมูฮ้อง สูตรภูเก็ต” และ “ขาหมูพะโล้” ใช้วัตถุดิบพรีเมียมหมูชีวา ที่มีโอเมก้า 3 ตอบโจทย์สไตล์คนรุ่นใหม่หรือผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานเมนูตุ๋น อร่อยติดมันเด้งดึ๋ง ที่ต้องใช้ระยะเวลาให้การปรุงนานให้สะดวกขึ้น พร้อมทั้งได้รสชาติอร่อยตามต้นตำรับอย่างแท้จริง ภายในงานได้รับเกียรติจาก ‘เชฟอิน-ณรงค์ฤทธิ์ แซ่ขอ’ จาก TikTok กำลังอิน และเจ้าของร้าน ครัวบ้านอิน รวมถึง ชาตรี จากเพจชาตรีกินแซ่บ มาร่วมสร้างสีสันและถ่ายทอดประสบการณ์ความอร่อยของ 2 เมนูนี้

สำหรับ “หมูฮ้อง สูตรภูเก็ต และ ขาหมูพะโล้” รังสรรค์ด้วยความพิถีพิถัน ด้วยการนำเนื้อหมูชีวาที่มีเนื้อนุ่มฉ่ำมาตุ๋นจนเปื่อย รสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อ หอมกลิ่นเครื่องเทศสามเกลอ สำหรับเมนูหมูฮ้อง อาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อของเมืองภูเก็ต ซึ่งมีความพิเศษที่แตกต่างจากการตุ๋นเนื้อหมูสามชั้นทั่วไป ครั้งนี้แบรนด์ CP ได้นำเคล็ดลับความอร่อยจากต้นตำรับมาบรรจุลงในซอง เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสความออริจินัล เหมือนบินไปรับประทานถึงถิ่น

ทั้ง 2 เมนู ยังมีความพิเศษจากการเลือกใช้วัตถุดิบชั้นดีอย่าง หมูชีวา ที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 จากธรรมชาติ มาจากเลี้ยงด้วยสูตรอาหารซูเปอร์ฟู้ด อาทิ เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) น้ำมันปลาและสาหร่ายทะเล เป็นต้น ไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยการเลี้ยงจาก NSF จากประเทศสหรัฐอเมริกา การันตีด้วยรางวัลระดับนานาชาติ ทั้งนี้เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์รายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองตรา ‘อาหารรักษ์หัวใจ’ จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและหัวใจ จึงเหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ วัยเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงวัย สามารถรับประทานได้ทุกวัน

เมนู “หมูฮ้อง สูตรภูเก็ต และ ขาหมูพะโล้” มีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป เฉพาะที่ แม็คโครและโลตัส กับโปรโมชัน ซื้อผลิตภัณฑ์ในราคาพิเศษ เพียงชิ้นละ 139 บาท (จาก 149 บาท) ตั้งแต่วันนี้ถึง 18 กันยายน 2567 .

กินอาหารปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ ในภาวะอุทกภัย

ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำผู้ประสบอุทกภัย ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในอาหารเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ควบคู่กับการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นและพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เป็นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม ด้านหน่วยงานช่วยเหลือ ควรหลีกเลี่ยงมอบอาหารที่บูดง่าย ให้เลือกอาหารที่สามารถเก็บได้นาน และตรวจสอบคุณภาพอาหารก่อนนำไปมอบทุกครั้ง

ดร.วนะพร ทองโฉม นักสุขศึกษา (นักกำหนดอาหารวิชาชีพ) งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน ทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภคต่างๆ และที่สำคัญคือเรื่องของอาหารการกิน เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต

“ในภาวะน้ำท่วม ผู้ประสบภัยไม่สามารถประกอบอาหารเองได้ และไม่สะดวกในการออกไปซื้ออาหาร จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เข้ามาดูแล ทั้งในรูปแบบอาหารที่ปรุงสำเร็จ และอาหารแห้งที่สามารถกักตุนไว้กินได้หลายวัน ทั้งนี้ เรื่องอาหารการกิน ยังคงจำเป็นต้องใส่ใจความสะอาด และความปลอดภัยเป็นหลัก ที่สำคัญวัตถุดิบอาหารต้องมีคุณภาพดี เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต ต้องระมัดระวังและตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงผู้รับ เพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภคและดีต่อสุขภาพ” ดร.วนะพร กล่าว

สำหรับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในการนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย คือ อาหารที่เสียง่ายหรือบูดง่าย ได้แก่

  1. อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ เพราะอาหารไทยหลายเมนูมักใช้กะทิเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว เช่น แกงเขียวหวาน แกงพะแนง และอาหารหวาน ที่มีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งกะทิมีองค์ประกอบของสารอาหารที่เอื้อต่อการเจริญของจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการทำให้อาหารเสียง่าย
  2. อาหารประเภทลาบหรือยำ เนื่องจากวัตถุดิบผ่านการลวกหรือรวนซึ่งเป็นการผ่านความร้อนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่สามารถทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคได้
  3. อาหารที่ใส่ผักลวก ในเมนูน้ำพริกต่าง ๆ มีการใส่ผักลวกหรือผักต้มไปในกับข้าวอื่น ๆ จะทำให้อาหารมีความชื้น และเสียง่าย
  4. ข้าวผัด เนื่องจากข้าวผัดจะมีความชื้นและข้าวเป็นอาหารกลุ่มที่มีความเป็นกรดต่ำ เอื้อต่อการเจริญของแบคทีเรียก่อโรค

ส่วนอาหารปรุงสดที่ควรเลือก คือ อาหารที่ไม่เสียง่ายหรือบูดยาก เก็บไว้ได้นาน และมีคุณค่าโภชนาการ โดยแนะนำให้แยกข้าวออกจากกับข้าว เพื่อทำให้อาหารบูดช้าลง อาทิ

  1. ข้าวสวย หรือ ข้าวเหนียว + เนื้อสัตว์ (หมู/ไก่/เนื้อ/ปลา) ทอด ย่างหรืออบ หรือ ไข่เจียว/ไข่ต้ม + ผัดผัก
  2. ข้าวสวย + กับข้าวประเภทผัดหรือต้มที่ใส่เนื้อสัตว์และผัก (ไม่มีส่วนผสมของแป้งและกะทิ)
  3. ผลไม้ที่ยังไม่ได้ปลอกเปลือกหรือยังไม่หั่น เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง มะม่วง แตงโม

สำหรับอาหารที่เก็บไว้ได้นาน และเหมาะสำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย อาทิ

  1. ปลากระป๋อง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล
  2. อาหารปรุงสำเร็จบรรจุกระป๋อง
  3. ไข่
  4. ผักสดที่เก็บได้นาน เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือ
  5. นมพลาสเจอร์ไรซ์
  6. ขนมปังกรอบหรือเครกเกอร์

ดร.วนะพร แนะนำว่า ลักษณะอาหารที่ไม่ควรกิน เสี่ยงเป็นอาหารที่เสีย สามารถสังเกตจาก 3 สัญญาณต่อไปนี้

  1. กลิ่นของอาหารเปลี่ยน เช่น กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นหืน กลิ่นบูด
  2. เนื้อสัมผัสอาหารเปลี่ยนไป เช่น เป็นเมือก เป็นฟอง
  3. รสชาติเปลี่ยน เช่น เปรี้ยว ขม

สำหรับข้อสังเกตอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารบรรจุกระป๋อง ที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่

  1. อาหารที่หมดอายุแล้ว
  2. อาหารที่บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย เช่น กระป๋องเป็นสนิม ถุงฉีกขาดมีรอยรั่ว
  3. อาหารที่ขึ้นรา เช่น มีใยสีขาว มีจุดสีดำบนอาหาร

ในขณะที่ น้ำดื่ม ควรเลือกจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ส่วนน้ำใช้ แนะนำใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่มั่นใจได้ในความสะอาด กวนสารส้ม หยดคอรีน ป้องกันเชื้อโรคที่มากับน้ำ

ดร.วนะพร กล่าวย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม สุขภาพยังเป็นสิ่งที่ทุกคนควรคำนึงอยู่เสมอ หากเจ็บป่วยในขณะที่อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมยิ่งจะสร้างความลำบากในการเดินทางไปสถานพยาบาลเพื่อรับการรักษา ดังนั้น จึงต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่รับประทานเป็นลำดับแรก ควบคู่กับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่กินในแต่ละวันเพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย.