บทความโดย ฐิติเมธ โภคชัย
ผู้บริหารงาน ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 นี้ จะเป็นวันสุดท้ายที่สามารถซื้อกองทุนเพื่อการออมพิเศษ (Super Savings Fund Extra: SSFX) ได้ ดังนั้น หากคุณมีความพร้อมในเรื่องเงิน เห็นความสำคัญของการออมในระยะยาว ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี และเห็นจังหวะราคาหุ้นปรับลดลง ควรใช้โอกาสนี้ในการลงทุน
ทำไมต้องซื้อกองทุน SSFX คำตอบคือ เป็นโอกาสพิเศษสำหรับการลงทุน ซึ่งประเด็นนี้ สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เฉลยถึงความพิเศษของการลงทุนในกองทุน SSFX ว่า
- ไม่ว่าคุณจะมีฐานรายได้มากหรือน้อย เป็นรายได้ประจำหรือไม่ประจำ เมื่อซื้อกองทุน SSFX จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นกรณีพิเศษ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
- เงินลงทุนในกองทุน SSFX ที่นำไปลดหย่อนภาษี จะไม่นับรวมกับกองทุนกลุ่มเกษียณอื่นๆ หมายความว่า หากลงทุนในกองทุนกลุ่มเกษียณที่ได้สิทธิลดหย่อนภาษีอื่นๆ ในปีนี้จนเต็มวงเงิน 500,000 บาทแล้ว และถ้าลงทุนในกองทุน SSFX อีก 200,000 บาท ก็จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี นำไปลดหย่อนสูงสุดได้ถึง 700,000 บาท
- ลงทุนกองทุน SSFX เหมือนได้ส่วนลด (Discount) จากราคาปัจจุบัน เนื่องจากได้ลดหย่อนภาษี เช่น หากมีฐานภาษี 10% แสดงว่าได้ซื้อกองทุน SSFX ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน 10% หรือฐานภาษี 15% แสดงว่าได้ซื้อ SSFX ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน 15% เป็นต้น
- เนื่องจากกองทุน SSFX เมื่อซื้อแล้วต้องถือครอง 10 ปีขึ้นไป นับจากวันที่ซื้อ ซึ่งมีระยะเวลาลงทุนนานพอที่จะทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน และเมื่อครบกำหนดสามารถขายหน่วยลงทุน ทำให้มีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปทำอย่างอื่นต่อได้
“10 ปีกับการลงทุนกองทุน SSFX ถือว่าไม่นาน ยิ่งหากเคยลงทุนกองทุน LTF และ RMF มาแล้ว ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่สำคัญกองทุน LTF และ RMF ได้พิสูจน์มาแล้วว่า การลงทุนในระยะยาวสามารถลดความเสี่ยง และเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าประทับใจ จึงเชื่อว่าเงินลงทุนกองทุน SSFX วันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าจะงอกเงยขึ้นตามลำดับ” สาห์รัช อธิบายถึงความพิเศษของการลงทุนในกองทุน SSFX
อย่างไรก็ตาม นอกจากต้องถามตนเองให้แน่ใจว่า เงินที่แบ่งมาลงทุนในกองทุน SSFX นั้น เป็นเงินก้อนที่จะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไปตลอด 10 ปีนับจากนี้หรือไม่ อย่าลืมศึกษานโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนว่า สอดคล้องกับสไตล์การลงทุนของตนเองมากน้อยเพียงใด
อีกทั้ง ต้องดูข้อจำกัดด้วย โดยเฉพาะหลังจากวันที่ 30 มิถุนายนนี้ไปแล้ว จะไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้อีก
หรือเงื่อนไขในการสับเปลี่ยนกองทุน โดยกองทุน SSFX จะสับเปลี่ยนได้กับกองทุน SSFX ด้วยกันเท่านั้น แต่จะไม่สามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุนรวมประเภทอื่นๆ ได้ เพราะมีเงื่อนไขการลงทุนที่แตกต่างกัน ดังนั้น “ก่อนจะดำเนินการต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า กองทุนปลายทางที่ต้องการสับเปลี่ยนไปนั้น เป็นกองทุน SSFX หรือไม่” สาห์รัช แนะนำ
ที่สำคัญ ควรศึกษาถึงบทลงโทษเมื่อทำผิดเงื่อนไข กรณีขายคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนด 10 ปี
- จะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไป พร้อม “เงินเพิ่ม” ในอัตรา 1.5% ต่อเดือนของจำนวนเงินภาษีที่ได้รับลดหย่อน โดยควรยื่นชำระคืนภาษีทันทีที่ผิดเงื่อนไข เพราะเงินเพิ่มจะเริ่มนับตั้งแต่เดือนที่ผิดเงื่อนไข ไปจนถึงเดือนที่มีการยื่นเรื่องคืนภาษีให้กรมสรรพากร
- กำไรที่ได้จากการขายคืนกองทุน SSFX ถือเป็นรายได้ในปีที่ขายคืน ดังนั้น ต้องนำไปรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีด้วย โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- หากขายคืนหน่วยลงทุนที่ถือครองต่ำกว่า 1 ปี จะเสียค่าปรับ 1.50% ของมูลค่าซื้อขาย
ถึงแม้กองทุน SSFX จะมีความพิเศษและข้อดี แต่ก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างไปจากกองทุน LTF และ RMF ที่ผู้ลงทุนคุ้นเคย และยิ่งใกล้ถึงวันสุดท้ายที่เปิดให้ลงทุน เพื่อป้องกันความผิดพลาด ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ดูรายชื่อและรายละเอียดกองทุน SSFX คลิก >> https://setga.page.link/fShfM54TGd2XrL4k6
ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย