Home Blog Page 24

เงาหุ้น : หุ้น AOT ปีกหัก

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 9 ก.ค.63 ปิดที่ 1,365.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.35 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 72,680.06 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,241.42 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิดที่ 74.75 บาท บวก 6.25 บาท, AOT ปิด 56.25 บาท ลบ 1.25 บาท, PTT ปิดที่ 39.25 บาท ลบ 0.25 บาท, STA ปิด 29 บาท บวก 0.50 บาท และ PTL ปิด 20.70 บาท บวก 1.90 บาท

หุ้น AOT ปรับตัวลงแรง หลังนักวิเคราะห์ประเมินไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของบริษัท แม้จะดีขึ้นหลังจากนั้น นอกจากนี้นักลงทุนยังกังวลว่า อาจมีความเสี่ยงต้องตั้งสำรอง 3 พันล้านบาท กรณี THAI ขอ AOT ยกเลิกหรือลดหนี้ 3 พันล้านบาท บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ กรณี THAI ขอให้ AOT ยกเลิกหรือลดหนี้ ว่า AOT มี Exposure กับการบินไทยราว 3 พันล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้การค้า 800 ล้านบาท และข้อพิพาททางแพ่งราว 2 พันล้านบาท หากมีการยกหนี้จะเป็น Sentiment ลบต่อราคาหุ้น จากงบครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะขาดทุนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ต้องติดตามศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวนการบินไทยจะเข้าแผนฟื้นฟูหรือไม่ในวันที่ 17 ส.ค.63 หากเข้าสู่แผนฟื้นฟู AOT อาจจำเป็นต้องเข้าไปร่วมแก้ไขธุรกิจครัวการบิน, ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน, Cargo และ Ground Service โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาศักยภาพของประเทศ

ทั้งนี้ คงราคาเหมาะสม AOT ที่ 54 บาท แนะแค่ TRADING และให้นักลงทุนรอสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว จากการขาด Catalyst หนุนในระยะสั้น โดย AOT จะฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มโรงแรมเนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลักและต้องดูแล Airline ให้ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปให้ได้ก่อน จึงจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง

ส่วน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองกรณี THAI เข้าสู่แผนฟื้นฟู จะทำให้ THAI ขอเจรจายกเลิกหนี้หรือลดหนี้ทำให้ AOT มีความเสี่ยงตั้งสำรองรวม 3 พันล้านบาท โดยประเมินว่า AOT จะมีการตั้งสำรองในงบปี 64

ทั้งนี้ ประเมินผลการดำเนินงาน AOT งวดปี 64 ว่าจะขาดทุน 3 พันล้านบาท ลดลงจากปี 63 ที่ประเมินว่าจะมีกำไร 4.5 พันล้านบาท ขณะที่มีผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF เล็กน้อย 0.20 บาท/หุ้น

แนะแค่ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 59 บาท โดยระยะสั้นมองราคาหุ้นจะลดลงจากการระบาดของโควิด–19 ระลอก 2 ในหลายประเทศ ทำให้แนวโน้มการเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศยังต้องเลื่อนออกไปก่อน รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3-4 ปีนี้จะขาดทุนมาก!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS Fibre อัปเกรดเน็ตบ้านเพื่อคนไทยยุค New Normal

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ เอไอเอส เปิดเผยว่า กว่า 3 เดือนที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์โควิด คนไทยปรับตัวเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่อย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลแบบฉับพลัน เน็ตบ้านกลายเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับไฟฟ้าและประปา ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้ง  Work From Home, Learn from Home, การรับชมคอนเทนต์สาระบันเทิงต่างๆ รวมถึง การสร้างสรรค์คอนเทนต์ และการเรียนรู้รูปแบบใหม่ๆ ฯลฯ ที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นและเข้าใจถึงพฤติกรรมการใช้งานเน็ตบ้านของคนไทย วันนี้ เอไอเอสจึงได้พัฒนานวัตกรรมและบริการไปอีกขั้น เพื่อยกระดับประสบการณ์ใช้งานเน็ตบ้านที่ดียิ่งกว่าให้กับคนไทย

เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ ที่ใช้สมาร์ทดีไวซ์ที่รองรับ Wi-Fi 6 ให้ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างเต็มประสิทธิภาพของอุปกรณ์  เอไอเอสจึงคิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์เสริม “AIS Fibre WiFi6 Upgrade Kit” ช่วยอัปเกรดเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านให้สปีดสูงขึ้น ใช้งานไม่มีสะดุด และช่วยลดสัญญาณรบกวน โดยลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ สามารถอัปเกรดเราเตอร์เป็น Wi-Fi 6 ได้ง่ายๆ เพียงชำระค่าอุปกรณ์เสริม 1,490 บาท พร้อมรับเงินคืนเต็มจำนวน (โดยลูกค้าจะได้รับเงินค่าสินค้าคืนเป็นส่วนลดค่าบริการรายเดือน จำนวน 100 บาท นาน 15 รอบบิล) 

AIS Fibre WiFi6 Upgrade Kit

ทั้งนี้ เมื่อใช้อุปกรณ์เสริม “AIS Fibre WiFi6 Upgrade Kit” คู่กับเราเตอร์ AIS Fibre SuperMESH WiFi จะมอบคุณสมบัติโดดเด่นยิ่งกว่า ได้แก่ 1. ให้สปีดเร็วแรงถึง 1 Gbps บน WiFi เมื่อใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ 2. สามารถทำสปีด Wi-Fi ได้ดีขึ้น เมื่อใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโนโลยีใหม่ Wi-Fi 6 3. รองรับเทคโนโลยี Mesh Wi-Fi และ 4. รองรับเทคโนโลยี 4×4 MU-MIMO ซึ่งจะช่วยกระจายสัญญาณให้เร็วแรง และครอบคลุมสม่ำเสมอทั่วทุกมุมในบ้าน 

นอกจากนี้ เอไอเอสยังให้ความสำคัญด้านคอนเทนต์บันเทิงที่ดีที่สุด โดยร่วมมือเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์กับ Apple TV เปิดมิติใหม่ของการรับชมคอนเทนต์ของ AIS PLAY บน Apple TV 4K   โดยจัดโปรแรง ลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ รับสิทธิ์ซื้อ Apple TV 4K ราคาพิเศษ ลด 30% สำหรับลูกค้าที่ใช้แพ็กเกจ AIS Fibre ขั้นต่ำ 699 บาท โดยจะได้รับเพิ่มส่วนลดค่าบริการรายเดือน เดือนละ 150 บาท นาน 12 เดือน รวมมูลค่า 1,800 บาท  

และยังสามารถดู AIS PLAY ผ่าน Samsung Smart TV  แบบไม่ต้องมีกล่องเพิ่มเติม  โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอป AIS PLAY ได้ที่ Samsung App Store บนหน้าจอทีวี  โดยอัปเกรดพร้อมใช้งานได้ สำหรับสมาร์ททีวี รุ่นปี 2017 เป็นต้นไป

พรัอมทั้งสามารถรับชมคอนเทนต์กีฬาระดับโลก จาก beIN Sports ไม่ว่าจะเป็นศึกเอฟเอคัพ อังกฤษ รอบ 4 ทีมสุดท้าย และรอบชิงชนะเลิศ, ลา ลีกา สเปน, กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี และตุรกี ซุปเปอร์ลีก รวมถึง ไฮไลท์ช่องใหม่จาก AIS PLAY กับสารคดียอดนิยมจากช่อง Discovery และ Animal Planet สำหรับแพ็กเกจ PLAY Premium และ PLAY Premium Plus

เอไอเอส เห็นความสำคัญเรื่องบริการ ทั้งนวัตกรรม ฟีเจอร์ และงานบริการรูปแบบใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ด้านคุณภาพสัญญาน WiFi ต้องครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ลูกค้าต้องการใช้งาน ตั้งแต่วันแรกที่ติดตั้ง โดยเอไอเอสตั้งใจออกแบบบริการ การเข้าติดตั้งของช่าง รวมถึง ออกแบบอุปกรณ์เราเตอร์ให้เป็นรุ่นเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการ Pairing อุปกรณ์ Mesh Wi-Fi ตัวแม่กับตัวลูก เพียงแค่กดปุ่มก็ต่อเชื่อมได้อย่างสะดวก ง่าย และรวดเร็วในการติดตั้ง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเพิ่มบริการติดตั้ง SuperMESH WiFi Router ได้ทันที ตอกย้ำมาตรฐานงานบริการที่เหนือระดับยิ่งกว่า โดยการดูแลของช่างมืออาชีพแบบ One Stop Service

เอไอเอส ไฟเบอร์ ในฐานะผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้าน เราเน้นย้ำความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครือข่าย และงานบริการ ตลอดจนการนำเสนอแพ็กเกจที่มีคุณภาพและคุ้มค่าที่สุด รวมถึง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ด้วยคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลก จากความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่พร้อมอัปเกรดประสบการณ์ใช้งานเน็ตบ้านที่แตกต่างและดีที่สุดให้กับคนไทยเสมอ” นายศรัณย์ กล่าว

เงาหุ้น : มุมมองเอเซียพลัส

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 ก.ค.63 ปิดที่ 1,362.46 จุด ลดลง 10.76 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 66,274.72 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,211.06 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 68.50 บาท ลบ 0.50 บาท, AOT ปิด 57.50 บาท ลบ 2 บาท, PTT ปิด 39.50 บาท ลบ 0.75 บาท, STA ปิด 28.50 บาท ลบ 1.75 บาท และ EA ปิด 45.50 บาท ลบ 2.50 บาท

หุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกยังถูกกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ

“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซียพลัส เผยในงาน “นักวิเคราะห์พบสื่อไตรมาส 3 ปี 63” ว่า เอเซียพลัสประเมินกรอบดัชนีไตรมาส 3 ไว้ที่ 1,250-1,420 จุด

แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และกลุ่มหุ้นที่อิงการประมูลโครงการลงทุนภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นการบริโภค เลือก BGRIM, CPF, CPALL, INTUCH, INSET และ SEAFCO เป็นหุ้นเด่น!!

ฝ่ายวิจัยมองว่า มีโอกาสปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 63 ลง จากเดิมที่คาดว่ากำไร บจ.จะทำได้ 6.88 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 64 บาทต่อหุ้น ซึ่งงวดไตรมาส 1 ปีนี้ ทำกำไรไว้ที่ 1.06 แสนล้านบาท

ส่วนไตรมาส 2 คาดว่ากำไร บจ.จะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือทำได้ 1 แสนล้านบาท ดังนั้น ส่งผลให้ครึ่งแรกปี 63 บจ.อาจทำกำไรได้เพียง 30-40% ของประมาณการ ทำให้ครึ่งหลังของปีจะต้องทำกำไรเกินกว่า 60-70% ซึ่งถือเป็นความท้าทายมาก!!

ขณะที่มองกระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียนมากกว่า เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ P/E 20.6 เท่า สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค และกำไร บจ.ปีนี้จะลดลง 27.5% ต่ำที่สุดในอาเซียน ประกอบกับ IMF คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวหนักสุด

ไตรมาส 3 มีหลายปัจจัยกดดัน คือคาดจีดีพีไทยจะติดลบ 15% จากมาตรการ Lock Down และระบาดของโควิด-19 ที่ยังเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกภาพรวม รวมถึงการค้าจีน-สหรัฐฯ แต่ไตรมาส 4 หุ้นจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากนโยบายกระตุ้นการลงทุนภาครัฐและโควิดคลี่คลาย จึงเชื่อว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทยในช่วงนั้น

ประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 63 มีแนวรับ 1,350 และแนวต้านอยู่ที่ 1,440 จุด!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ครม.เห็นชอบกรอบโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท

โดยอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้กับ 5 โครงการที่มีการเสนอเข้ามาพิจารณาทันในการประชุมวันที่ 8 ก.ค.นี้ก่อน วงเงินรวม 1.5 หมื่นล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบกรอบโครงการและวงเงินภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท ในรอบที่ 1 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ โดยในรอบแรก อนุมัติหลักการ 186 โครงการ กรอบวงเงิน 92,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก 111 โครงการ วงเงิน 51,328.68 ล้านบาท, แผนงานสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน 83 โครงการ วงเงิน 20,340.43 ล้านบาท และโครงการแผนงานกระตุ้นการอุปโภค บริโภค และกระตุ้นการท่องเที่ยว 2 โครงการ วงเงิน 22,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ครม.อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินให้กับ 5 โครงการที่มีการเสนอเข้ามาพิจารณาในการประชุมวันที่ 8 ก.ค.นี้ก่อน ซึ่งเน้นเรื่องการจ้างงาน สร้างอาชีพ และให้ความรู้ประชาชนเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานราก วงเงินรวม 15,520.096 ล้านบาท เนื่องจากคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ฯพิจารณามาทันเข้า ครม.เท่านี้ ส่วนโครงที่เหลือจะนำเข้าพิจารณาในการประชุมครม.สัปดาห์ต่อไป

ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

โดย 5 โครงการดังกล่าว ประกอบด้วย

1.โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่ม เกษตรทฤษฎีใหม่ เสนอโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 9,805 ล้านบาท เป็นการฝึกอบรมเกษตรกรเกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่ เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร มีเป้าหมายในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร 44,099 รายเพิ่มการจ้างงานเกษตรกร 8,018 ราย

2.โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์ “โคก หนอง นา โมเดล” เสนอโดยกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 4,787 ล้านบาท จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และประชาชน 25,179 ครัวเรือน/เพิ่มการจ้างงานเกษตรกร 6,492 ราย เพิ่มพื้นที่ปลูกป่าไม่น้อยกว่า 25,759 ไร่


3.โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ย เพื่อชุมชน เสนอโดยกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 169.88 ล้านบาท จะเพิ่มการจ้างงานในธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน 2,364 คน/ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีในพืชเศรษฐกิจต่างๆไม่น้อยกว่า 20% หรือประมาณ 18,000 ตัน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกประมาณ 253 ล้านบาท

4.โครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับ นักท่องเที่ยว (safety zone) เสนอโดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน 15 ล้านบาท ดำเนินการ 5 พื้นที่ ได้แก่ย่านเมืองเก่าน่าน หาดบางแสน จ.ชลบุรี เอเชียทีค ชุมชนบ้านไร่ กองขิง เชียงใหม่ และเยาวราช โดยมีเป้าหมายสร้างต้นแบบพื้นที่ท่องเที่ยว และกระจายรายได้กระจายสู่เศรษฐกิจฐานราก

5.โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ ด้านสัตว์ป่า เสนอโดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม วงเงินรวม 741.5 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและยกระดับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของอุทยานแห่งชาติ ช่วยจ้างงานในพื้นที่อนุรักษ์สัตว์ป่า 1,250 คนโดยพัฒนาให้เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นสร้างผู้ประกอบการก่อสร้างในท้องถิ่นจำนวน 125 ราย

นิด้าโพลเผย คนสูงวัยเข้าวัดน้อยลง ชอบอยู่บ้าน หนึ่งในสี่มีการพนันเป็นงานอดิเรก

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ร่วมกับ ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ (Center for Aging Society Research – CASR) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จัดทำผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง “ผู้สูงวัยไทยใส่ใจสังคมมากน้อยแค่ไหน” พบประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้สูงวัยเข้าวัดน้อยลง

โดยผลสำรวจระบุว่า เมื่อถามถึงพฤติกรรมของผู้สูงวัย ต่อกิจกรรมที่ทำบ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน พบว่า ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ทำกิจกรรมประจำวันอยู่ภายในบ้าน และมีประมาณ 1 ใน 4 ที่มีงานอดิเรกที่อาจมีการพนัน หนึ่งครั้งต่อเดือน

กิจกรรมที่ผู้สูงวัย ไม่เคยทำในชีวิตประจำวัน เกินกว่าครึ่ง ร้อยละ 65.36 ระบุว่า กิจกรรมนอกบ้านกับครอบครัว (เช่น ดูหนัง ทานข้าว) และร้อยละ 54.08 งานอดิเรกที่อาจมีการพนันขันต่อ เช่น ชนไก่ แข่งนกขัน เล่นหวย/ซื้อสลากกินแบ่ง

ส่วนกิจกรรมที่ผู้สูงวัย ทำทุกวันในชีวิตประจำวัน เกินกว่าครึ่ง ได้แก่ ร้อยละ 80.96 ระบุว่า กิจกรรมภายในบ้านที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก เช่น ฟังวิทยุ ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์/หนังสือ รองลงมา ร้อยละ 74.96 ระบุว่า กิจกรรมในบ้านที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ทำความสะอาดบ้าน ทำอาหาร ทำสวนครัว/สวนดอกไม้ และร้อยละ 64.64 ระบุว่า ออกกำลังกาย (เช่น การเดิน โยคะ แอโรบิค ว่ายน้ำ เต้นรำ/รำไทย)

สำหรับประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ พบว่า ผู้สูงวัยเข้าวัดน้อยลง โดยการเข้าร่วมทำงานอาสาสมัครในวัด ศาสนสถาน หรือในชุมชนของผู้สูงวัย โดย ร้อยละ 83.52 ระบุว่า ไม่เข้าร่วมทำงานอาสาสมัครในวัด ศาสนสถาน หรือในชุมชน ในขณะที่ ร้อยละ 16.48 ระบุว่า เข้าร่วม ทำงานอาสาสมัครในวัด ศาสนสถาน หรือในชุมชน

ส่วนการใช้สื่อทางสังคม หรือ โซเชียล มีเดีย ของผู้สูงวัย พบว่า ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.72 ระบุว่า ใช้ Line, รองลงมา ร้อยละ 30.56 ระบุว่า ใช้ Facebook, ร้อยละ 29.60 ระบุว่า ใช้ YouTube, ร้อยละ 4.80 ระบุว่า ใช้ Instagram และร้อยละ 3.44 ระบุว่า ใช้ Twitter

คลังขอความร่วมมือผู้สละสิทธิคืนเงินมาตรการเยียว 5 พันบาท

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงข้อเท็จจริงกรณีที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารการเรียกคืนเงินจากกลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2563 มีผู้สละสิทธิ 10,121 ราย มีผู้คืนเงินให้กระทรวงการคลังครบถ้วนแล้ว 2,455 ราย คงเหลือผู้ที่ยังไม่คืนเงิน 7,666 ราย กระทรวงการคลังจึงได้มีหนังสือแจ้งให้กลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ดังกล่าว คืนเงินเยียวยาที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดต่อกระทรวงการคลัง ซึ่งหลังจากมีหนังสือออกไปแล้ว ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 มีผู้คืนเงินเพิ่มเติม 84 ราย ดังนั้น เพื่อให้การสละสิทธิเสร็จสมบูรณ์ จึงขอความร่วมมือจากผู้แสดงความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท คืนเงินที่ได้รับไปเต็มจำนวนให้แก่กระทรวงการคลัง โดยสามารถดำเนินการผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ผ่าน Mobile Banking Internet Banking หรือ ATM ของธนาคารใดก็ได้ หรือนำหนังสือที่ได้รับไปติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั่วประเทศ

โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยอีกว่า ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมากที่การยื่นความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจหรือมีผู้อื่นดำเนินการแทนโดยที่เจ้าตัวไม่รับทราบหรือยินยอม เนื่องจากการสละสิทธิจะต้องดำเนินการที่หน้าเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ซึ่งมีหลายขั้นตอน และจะต้องระบุข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลต่างๆ ที่ให้ไว้ในการลงทะเบียน รวมทั้งมีการยืนยันตัวตนผ่าน One Time Password หรือ OTP ที่ถูกส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการลงทะเบียนอีกด้วย

เงาหุ้น : มุมมอง บลจ.พรินซิเพิล

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 6 ก.ค.63 ปิดที่ 1,373.22 จุด เพิ่มขึ้น 0.95 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 81,868.19 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,387.92 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 69 บาท บวก 1.25 บาท, PTT ปิด 40.25 บาท บวก 1 บาท, EA ปิด 48 บาท บวก 4.25 บาท, STA ปิด 30.25 บาท ลบ 0.50 บาท และ SUPER ปิด 0.98 บาท ลบ 0.06 บาท

หุ้นไทยดีขึ้นเล็กน้อยตามหุ้นต่างประเทศ หลังข้อมูลเศรษฐกิจโลกออกมาดีกว่าคาด แต่ยังโดนกดดันด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19ในต่างประเทศ

มีมุมมอง จาก “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล ในงานเปิดตัวกองทุนใหม่ พรินซิเพิล โกลบอล เอ็ดดูเคชั่น เทค ที่มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเหลือปีนี้ ว่า มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมองเป้าหมายสูงสุดไว้ที่ 1,500 จุดหรือมากกว่าขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและท่องเที่ยวและไม่เกิดโควิด-19 รอบ 2

ทั้งนี้ มองว่าหากเปิดประเทศให้ต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวได้ช้า และโควิด-19 ระบาดรอบ 2 ที่จะทำให้ไทยเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง รวมถึงตัวเลขการจ้างงานหากยังน่ากังวล และราคาน้ำมันลงแรง ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสลงมาแนวรับที่ 1,200 จุด แต่การปรับลงไม่รุนแรง

เหมือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีนักลงทุนรอซื้อหุ้นในราคาถูก “ตลาดยังผันผวนได้อีก เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยว กว่าจะกลับมาเท่าเดิมเหมือนก่อนโควิด คงใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี หากภาครัฐจัดโปรแกรมต่างชาติเที่ยวแบบ Travel Bubble สำเร็จไม่เห็นโควิดรอบ 2 ทุกอย่างคลี่คลาย คงเห็นหุ้นไทยขึ้นไปได้ที่ 1,500 จุดหรือมากกว่า ถ้าสถานการณ์กลับกันจะเห็นแนวรับที่ 1,200 จุด”

สำหรับหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุนได้แก่ หุ้น Defensive หรือหุ้นปันผลดี เช่น โรงไฟฟ้า ประปา สาธารณูปโภคต่างๆ และกลุ่มที่มีความผันผวนน้อยจากผลกระทบโควิด-19 เช่น กลุ่มโรงพยาบาล อาหาร ค้าปลีก แต่ให้ชะลอการลงทุนกลุ่มแบงก์พาณิชย์โดยให้ติดตามหนี้ NPL ประกอบกัน รวมถึงหุ้นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว

นอกจากนี้แนะลงทุนกอง REIT ประเภทโลจิสติกส์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ออฟฟิศและโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากการปันผล 4–6% รายได้จากการเช่ายังเหมือนเดิมไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด–19!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

เงาหุ้น : ลุ้นหุ้นช็อปช่วยชาติ

สัปดาห์นี้ รอลุ้น ครม.ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเฉพาะในการประชุม ครม.เศรษฐกิจวันที่ 10 ก.ค.นี้ หลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งหามาตรการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวเพิ่มจากปัจจุบัน

โดยล่าสุดเริ่มเห็นกระแสมาตรการรอบใหม่ เช่น การยืดระยะเวลาชำระหนี้ของ SMEs (Loan Payment Holiday) เพิ่มเติม, การช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการเข้าถึง Soft loan ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ต้องการกระตุ้นให้คนรวยหรือผู้ที่มีกำลังซื้อสูงออกมาใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงมาตรการช้อปช่วยชาติ ซึ่งกระทรวงการคลังระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบของมาตรการช้อปช่วยชาติ

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หากมีการออกมาตรการช้อปช่วยชาติ เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยหากพิจารณาสถิติย้อนหลัง ทุกครั้งที่ภาครัฐออกมาตรการช้อปช่วยชาติตั้งแต่ปี 2558-2561 พบว่าสามารถเพิ่มเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจราว 9,000-22,500 ล้านบาท หรือราว 0.06-0.15% ของ GDP

หากพิจารณาจากอดีต เฉพาะช่วงที่มีมาตรการช้อปช่วยชาติเต็มรูปแบบ 3 ปี (ปลายปี 2558-2559 และ 2560) ระยะเวลาดำเนินมาตรการในแต่ละช่วง 7-23 วัน พบว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงช้อปช่วยชาติ Outperform ได้ดีให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.81%

ส่วนกลุ่มหุ้นที่ Outperform ได้ดีกว่าตลาด คือ กลุ่มท่องเที่ยว 3.90%, ค้าปลีก 1.43%, ขนส่ง 1.22% และอสังหาฯ 1.14% เป็นต้น โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่มัก Outperform ตลาดได้ดี ในช่วงช้อปช่วยชาติ คือ CENTEL 6.3%, BJC 4.8%, LH 4.2%, ERW 4.0%, AP 3.1%, AOT 2.3%, CPALL 2.0%, CPN 1.2% ตามลำดับ

ดังนั้น จึงเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวมีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีในช่วงรอมาตรการช้อปช่วยชาติที่มีโอกาสมาเร็วขึ้นในปีนี้

รวมถึงตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) มิ.ย.63 อยู่ที่ 49.2 จุด เพิ่มขึ้น 2.1% mom ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2
จึงคาดว่า แนวโน้ม SSSG กลุ่มน่าจะผ่านจุดเลวร้ายสุดแล้ว จากผลกระทบปิดสาขาส่วนใหญ่ ใน 2Q63 และเชื่อว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นจะฟื้นตัวได้มีเสถียรภาพขึ้น โดยเฉพาะหุ้น CPALL และ SPVI!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เงาหุ้น : หุ้น STGT–RBF

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 ก.ค.63 ปิดที่ 1,372.27 จุด ลดลง 1.86 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 71,138.57 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 383.71 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 67.75 บาท บวก 7.25 บาท, STA ปิด 30.75 บาท บวก 2.75 บาท, GULF ปิด 38.75 บาท บวก 1 บาท, SUPER ปิด 1.04 บาท บวก 0.08 บาท และ PTT ปิด 39.25 บาท บวก 0.25 บาท

หุ้นไทยแกว่งขึ้นลงทั้งในแดนบวกและแดนลบ คาดหวังวัคซีนป้องกันโควิด-19 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดี ทำให้เป็นเซนติเมนต์ที่ดีต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่นักลงทุนในภาพรวมยังไม่มีความมั่นใจในทิศทางตลาด จึงมุ่งเทขายทำกำไรเป็นรอบๆ

หุ้น STGT บวกแรงต่อเนื่อง จนราคาขึ้นมาสูงกว่าราคาเป้าหมายหรือราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่สำนักโบรกเกอร์ต่างๆให้ไว้ก่อนหน้านี้ โดย บล.ทิสโก้ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมไว้ในช่วง 42-52 บาท ขณะที่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมายปี 63 ที่ 47 บาท และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ไว้ที่ 45 บาท และ บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้ราคาเป้าหมายปี 63-64 ไว้ที่ 40 บาท

ขณะที่หุ้นเล็กแต่โดดเด่น บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) ร้อนแรงวิ่งชนซิลลิ่ง มาปิดที่ 9.75 บาท บวก 1.25 บาทหลังเข้า SET100 โดย บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 9.50 บาท คาดการณ์มีอัตราการเติบโตของกำไรที่สดใสในอนาคต โดยคาดว่าค่าเฉลี่ย CAGR ใน 2 ปีข้างหน้าอยู่ในอัตราสูงเป็น 30% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในการคุมต้นทุนได้ดี

บริษัทยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นเงินสดสุทธิ (Net Cash Position) และทีมผู้บริหารมีความสามารถ ขณะที่มีโครงการในต่างประเทศที่จะเสริมการเติบโตในอนาคตคือ โรงงานเกล็ดขนมปังป่นแห่งใหม่ที่เวียดนามและอินโดนีเซีย เริ่มได้ปีนี้และการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งโรงงานแห่งใหม่ที่เมือง Surabaya อินโดนีเซียให้ราคาพื้นฐาน ที่ 9.50 บาท

ด้านผู้บริหารเผย มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้ามาขอเข้าเยี่ยมชมโรงงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน (IPO) ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ลงทุนในปี 64 สำหรับงานก่อสร้างโรงงานอาหารทะเลเพื่อการส่งออก ในเมืองซูราบายา อินโดนีเซีย เฟส 2 ราว 200–250 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในโครงการใหม่อื่นๆในอนาคต!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เอไอเอส ปลื้มยอดผู้เข้างาน AIS 5G Thailand Virtual Expo ทะลุ 9 แสนคน

งาน AIS 5G Thailand Virtual Expo มหกรรมสินค้าโมบาย อาหาร และไลฟ์สไตล์ บนโลกออนไลน์เสมือนจริง มียอดผู้เข้าชมออนไลน์ ตลอด 5 วันของการจัดงาน รวมกว่า 9.7 แสนคน โดย 48% มาจากกรุงเทพมหานคร และ 52% จากแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสการขาย และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างไร้พรมแดน

            นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า “ เอไอเอสยินดี และภูมิใจที่ได้มีโอกาสนำแพลตฟอร์ม Virtual Expo มาใช้ในการจัดงานเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ให้ระบบภาพและเสียงแบบมัลติมีเดีย อินเตอร์แอคทีฟ 360 องศา มอบประสบการณ์การช้อปที่แปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจ ได้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในเอ็กซ์โปจริงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สอดคล้องกับ New Normal ที่เน้นดูแลสุขอนามัย ความปลอดภัย และรักษาระยะห่าง และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าชมงาน และเข้าถึงสินค้าและบริการ โดยไม่ต้องเดินทางมายังสถานที่จริง การจัดงานครั้งนี้บ่งชี้ถึงศักยภาพและถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการจัดงานในรูปแบบ Virtual Expo

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส 

เอไอเอส ขอขอบคุณพันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งสมาร์ทดีไวซ์ SME และผู้ค้ารายย่อย กว่า 500 ร้านค้า ที่นำสินค้ามาร่วมจำหน่าย นอกจากช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้า ดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นการจับจ่ายให้กลับมาคึกคักแล้ว ยังช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจประเทศกลับมาสดใสอีกครั้ง ซึ่ง เอไอเอส จะมุ่งมั่นพัฒนา Virtual Platform ในยุค AIS 5G ให้มีศักยภาพสูงมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภาคธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของผู้บริโภคได้อย่างโดนใจ”