Home Blog Page 14

เมืองไทยประกันชีวิต ดึง“เบลล่า”เปิดตัวแคมเปญ “คุ้มครองคุ้มเวอร์” คุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย-โรคร้ายแรง ดูแลเคียงข้างออเจ้า นานสูงสุดถึงอายุ 99 ปี

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม ดึง “เบลล่า” ราณี แคมเปน เป็นพรีเซ็นเตอร์ เปิดตัวแคมเปญและโฆษณาชุด “คุ้มครองคุ้มเวอร์” ชูความอุ่นใจด้วยความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย-โรคร้ายแรง เลือกวงเงินความคุ้มครองได้ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาท สมัครได้สูงสุด 90 ปี ดูแลคุณสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ตอบโจทย์ทุกความต้องการในแบบที่เป็นคุณ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำนโยบายในการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการดำเนินกลยุทธ์“Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต ในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิต   ให้กับทุกคน

ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวแคมเปญ “คุ้มครองคุ้มเวอร์” พร้อมโฆษณาชุดใหม่ โดยดึง “เบลล่า” ราณี แคมเปน เป็นพรีเซ็นเตอร์ ร่วมสร้างสีสันและความสุขให้แก่ผู้ชมในบทบาทคุณหญิงการะเกดและแม่พุดตาน โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้เกาะติดกระแสพรหมลิขิตฟีเวอร์ เรื่องราวสื่อสารถึงคุณหญิงการะเกด แม่พุดตาน และบรรดาบ่าวๆ  มาร่วมกันดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะภพชาติใด เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย โรคระบาด หรืออุบัติเหตุก็ห้ามกันไม่ได้          มีประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพไว้ก็อุ่นใจ ทั้ง ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่ให้การดูแลครอบคลุมทั้งโรคมะเร็ง โรคไต โรคหัวใจ โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ เลือกวงเงินความคุ้มครองได้ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาทสมัครได้สูงสุด 90 ปี ดูแลคุณสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย เข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมไปถึง ประกันโรคร้ายแรง ซื้อเพิ่มได้ เจอโรคร้ายก็จ่ายไหว ตรวจเจอรับเงินก้อนไปรักษาพยาบาล

พร้อมมอบความอุ่นใจ เลือกความคุ้มครองได้ในแบบที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ คุ้มครองตอนแอดมิต รวมถึงการรักษาฟื้นฟูต่อเนื่องกรณีผู้ป่วยนอก ทั้งค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน  ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U) ค่าหมอ ค่ายา  ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด  ค่ากายภาพบำบัด อีกทั้งจะผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ภายใน 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องนอนก็คุ้มครอง และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ

สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบอีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus) ความคุ้มครองสุขภาพอย่างเหนือระดับ สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงถึง 20 -100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองทั้ง โรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ ครอบคลุมการรักษาทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) ที่คุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล และห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) เหมาจ่ายตามจริงรวมสูงสุด 365 วัน หรือถ้านอนห้องเดี่ยวพิเศษ คุ้มครอง 10,000 -25,000 บาทต่อวัน และการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD)ตามแผนความคุ้มครองที่ลูกค้าเลือก รวมถึงการฟอกไต การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการเคมีบำบัด และแบบ Targeted Therapy รวมถึงการรักษาแบบนวัตกรรมใหม่ Immunotherapy ให้คุณมั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI  โดยไม่ต้องแอดมิต นอกจากนี้ยังสามารถเลือกประเทศที่ต้องการรักษาได้ และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ

โครงการเหมาจ่าย เอ็กซ์ตร้า (เหมาจ่าย Extra) จ่ายเบี้ยประกันภัยน้อย แต่รับความคุ้มครองเต็มที่ ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง 2-5 แสนบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง หมดกังวลถ้าต้องแอดมิต ด้วยความคุ้มครองค่าห้องสูงสุด 4,000 บาทต่อวัน(1) และรับเพิ่ม 2 เท่า หากเข้าพักในห้อง ICU หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล แม้จะเพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือไม่มีสวัสดิการก็อุ่นใจ

ทั้งนี้ ดี เฮลท์ พลัส , อีลิท เฮลท์ พลัส และเหมาจ่าย Extra สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี – 90 ปี คุ้มครองยาว ๆ ถึงอายุ 99 ปี เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(2)

สัญญาเพิ่มเติม ซีไอ เพอร์เฟค แคร์ (CI Perfect Care) โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่ดูแลคุณอย่างต่อเนื่องหากป่วยเป็นโรคร้ายแรง ครอบคลุม 36 โรคร้าย ทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคหลอดเลือดในสมอง เป็นต้น ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ระยะกลาง หรือระยะรุนแรง พร้อมรับเงินก้อนหากตรวจพบโรค และรับเพิ่มเมื่อเกิดโรคแทรกซ้อน เบาหวาน หรือผ่าตัดขยายหลอดเลือดแดงหัวใจ ดูแลคุณอย่างต่อเนื่องด้วยความคุ้มครองโรคร้ายที่มั่นใจได้ สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน – 65 ปี คุ้มครองถึงอายุ 85 ปี เบี้ยประกันภัยบางส่วนยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(2)

โดยทุกท่านสามารถติดตามโฆษณา “คุ้มครองคุ้มเวอร์” จากเมืองไทยประกันชีวิต ได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่ โทรทัศน์  วิทยุ  เว็บไซต์ www.muangthai.co.th YouTube,  Facebook, Instagram, X, LINE Official Account  และ TikTok  

สำหรับผู้ที่สนใจประกันสุขภาพเหมาจ่าย และประกันโรคร้ายแรงจากเมืองไทยประกันชีวิต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ

สามารถรับชมโฆษณา “คุ้มครองคุ้มเวอร์” ได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=wVghee6vkP0&t=1s

CEO ตลาดทุน ประสานเสียงคาดปีหน้า ศก.ดีขึ้น ห่วงการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยง กังวลต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย ร่วมมือกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai (CEO Survey: Economic Outlook 2023 – 2024) ซึ่งรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 16 สิงหาคม  – 30 กันยายน 2566 สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

CEO ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นแต่ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อน และคาดกว่า GDP จะเติบโตที่ระดับ 2% ถึง 3% และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3% ถึง 4%

สำหรับปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย CEO คาดว่า การท่องเที่ยว นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 และต่อเนื่องในปี 2567 ขณะที่เสถียรภาพการเมืองในประเทศ กำลังซื้อในประเทศ และการส่งออกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2566 โดยคาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 2567 ตามมาด้วยหนี้สิ้นภาคครัวเรือน การส่งออก ปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น และในปีหน้า CEO มองว่า  “หนี้สิ้นภาคครัวเรือน” จะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ตามมาด้วยเสถียรภาพทางการเมืองไทย และเสถียรภาพทางการเมืองโลก ที่อาจเป็นตัวถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ด้านแนวโน้มอุตสาหกรรม และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 58% ของ CEO คาดว่าผลประกอบการในปี 2566 จะดีขึ้น โดย 52% ของ CEO คาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2566 จะเติบโตมากกว่า 10% โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกลับมาใช้ชีวิตรูปแบบปกติ อาทิ ธุรกิจในหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดวัสดุก่อสร้าง

ส่วนการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดย 56% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2566 และ 73%  คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2567 และพบว่าบริษัทจดทะเบียนในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น คาดว่าจะลงทุนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจความคิดเห็นด้านปัจจัยการผลิตและแนวโน้ม พบว่า CEO ส่วนใหญ่ คาดว่า ปัจจัยการผลิต ทั้งต้นทุนแรงงาน ต้นทุนด้านพลังงาน และราคาวัตถุดิบ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับแนวโน้มของราคาสินค้าและบริการ ด้านภาพคล่องและอัตราการจ้างงานมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนแนวโน้มในการลงทุนในต่างประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มดีขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบริษัทที่ตอบว่ามีการลงทุนเพิ่มเติมมีสัดส่วนอยู่ที่ 42% กระจายในหมวดธุรกิจต่างๆ อาทิ บริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เป็นต้น โดยประเทศเป้าหมายในการลงทุน ได้แก่ ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ได้แก่ จีน ซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ชะลอการลงทุนในจีน และสิงคโปร์

เมื่อสอบถามถึงความวิตกกังวลในการประกอบธุรกิจ พบว่า ในปี 2566 CEO มีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ ทั้ง  “ต้นทุนราคาเชื้อเพลิง” และ “ต้นทุนวัตถุดิบ” และในด้านกำลังซื้อภายในประเทศ อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาทที่ผันผวนของลูกค้า ขณะที่ “การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” และ “การให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” จะเป็นปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลบวกมากต่อบริษัท นอกจากนี้ CEO ยังแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นตัวของกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การแทรกแซงตลาดของภาครัฐที่บิดเบือนกลไกตลาด และปัญหาจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

นอกจากนี้ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน คาดว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เสถียรภาพการเมืองโลก เสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ ความผันผวนของค่าเงินบาท และนโยบายการปรับเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินงานของบริษัท ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลใหม่จะส่งผลบวก

ซีพีเอฟ – ม.วลัยลักษณ์ เซ็นเอ็มโอยูร่วมพัฒนาหลักสูตรด้านด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) พัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต 2 สาขา ของสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ 1.) สาขาเกษตรศาสตร์และนวัตกรรม 2.) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์อาหารและนวัตกรรม ภายใต้โครงการ Co-Creation Program เสริมทักษะนักศึกษาด้วยความรู้ STEM 4 ด้าน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในสถานประกอบการของซีพีเอฟ เพื่อผลิตบัณฑิตคุณภาพตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ร่วมลงนาม พร้อมด้วย นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ และคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยฯ 

ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ขณะนี้โลกกำลังเข้าสู่ยุค 5.0 ทุกภาคส่วนต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย รวมถึงภาคการศึกษา มหาวิทยาลัยฯ จึงมุ่งเน้นงานวิจัยและบริการวิชาการ ควบคู่กับการผลิตบัณฑิตที่มีทักษะแห่งอนาคต ให้มีศักยภาพสูง ขอขอบคุณซีพีเอฟสำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นการมอบโอกาสดีๆ ให้แก่คนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมอาหารและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันบนเวทีโลก ในช่วงแรกนำร่องพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต 2 สาขาวิชา ได้แก่ สาขาเกษตรศาสตร์และนวัตกรรม และ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์อาหารและนวัตกรรม รวมทั้งจะขยายความร่วมมือไปสู่หลักสูตรอื่นๆ อาทิ วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล คอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ ให้สอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่อไป  

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ยึดมั่นในหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ทั้งนี้ทรัพยากรบุคคลเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับธุรกิจให้ก้าวหน้า ซึ่งการผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาและการวิจัย รวมทั้งผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของภาคธุรกิจและตลาดแรงงาน โดยบูรณาการองค์ความรู้มิติต่างๆ และการปฏิบัติงานจริง เรียนรู้การทำงาน การแก้ปัญหาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ สร้างคนดีและคนเก่ง ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  

สำหรับ ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการพัฒนาหลักสูตรแบบ Co-Creation Program เน้นความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัทเอกชน ในรูปแบบ Work-Based Learning (WBL) ทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติจริง รวมทั้งเสริมทักษะและความรู้ STEM 4 ด้าน ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) โดยคณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของซีพีเอฟ เพื่อสร้างโอกาสและขีดความสามารถผลิตบันฑิตพร้อมใช้ (Ready to Use) 

ที่ผ่านมา ทั้ง 2 องค์กร มีความร่วมมือด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการฟาร์มสาธิตสุกรขุนและไก่ไข่ ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตสัตว์ครบวงจรด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ให้แก่นักศึกษา เกษตรกร และชุมชน

AIS คว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านนักลงทุนสัมพันธ์ และองค์กรยั่งยืน จาก SET AWARDS 2023

AIS กวาด 2 รางวัลใหญ่จากเวที SET AWARDS 2023 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร ประกอบไปด้วย รางวัลยอดเยี่ยมด้านนักลงทุนสัมพันธ์ Outstanding Investor Relations Awards ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และรางวัลองค์กรยั่งยืน Commended Sustainability Awards พร้อมกันนี้ยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Rating ในระดับ AAA สะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG ที่ AIS เดินหน้าสร้างการเติบโตร่วมกันของผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในโลกดิจิทัล

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) กล่าวว่า “ภายใต้เป้าหมายที่ชัดเจนของ AIS ที่มุ่ง ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ Cognitive Tech-Co ผ่านการสร้าง Sustainable Nation หรือการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทยบน ECOSYSTEM ECONOMY ทั้งผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในโลกดิจิทัล ส่งผลให้เราได้รับการยอมรับและสามารถคว้ารางวัลจาก SET AWARD ได้อีกครั้งในปีนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาว AIS ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการยกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่งในการเชื่อมต่อการทำงานของภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลได้ตามมาตรฐานระดับสากล จนเป็นที่ยอมรับและเป็นต้นแบบองค์กรในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

รางวัล SET AWARDS เป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรและบุคลากรในวงการตลาดทุนไทย ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ สร้างการเปลี่ยนแปลง ยกระดับมาตรฐานและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

MC ฟันธง ไตรมาส 2 กำไรทะยานรับช่วงไฮซีซั่น

“แม็คกรุ๊ป” เชื่อมั่นผลงานไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 ทะยานรับช่วงไฮซีซั่น! ช่องทางขายออนไลน์ โตสนั่น! หลังยอดขาย “TIKTOK” ติดอันดับ 1 แบรนด์ยอดขายดี เดินหน้าออกคอลเลกชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยในงาน Opportunity Day ถึงภาพรวมผลการดำเนินงานว่า บริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 (1 ต.ค. -31 ธ.ค. 2566) จากช่วงไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 ที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 129 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และมีรายได้ 882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 759 ล้านบาท

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่ได้วางไว้ โดยในช่วงปลายปีนี้ จะมีการนำเสนอ คอลเลกชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ เช่น Mc Selvedge Dragon, Mc Journey และ Mc Play, Year of Dragon เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ และการท่องเที่ยวปลายปี รวมถึงการเปิด Mc Outlet ที่ดำเนินการเปิดอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นเดือนพ.ย. 2566 มีจำนวน 125 สาขาทั่วประเทศ

“เรามั่นใจว่า จะมีกำไรเติบโตในเลขสองหลักได้อย่างต่อเนื่อง และในไตรมาส 2 จะโตเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสแรก เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นฤดูกาลใช้จ่ายและการเดินทาง แม็คยีนส์ เรามีทั้งกางเกงยีนส์ และสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน”

สำหรับการขายสินค้าของบริษัทฯ สิ้นไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 ช่องทางออฟไลน์ ผ่านร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) ที่เป็นช่องทางหลัก มีสัดส่วนกว่า 66% มีรายได้ 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%, ช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) สัดส่วน 11% มีรายได้ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.1% ช่องทางการขายออนไลน์ ในช่วง 11.11 ที่ผ่านมานั้น ยอดขายแบรนด์ “แม็คยีนส์” ผ่านแพลตฟอร์ม TIKTOK มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในหมวดหมู่สินค้าเสื้อผ้าผู้ชาย และมีแนวโน้มว่าในช่วง 12.12 คาดว่ายอดขายจะเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน ช่องทางการขายออนไลน์ ถือว่าเป็นช่องทางที่มีมาร์จิ้นดี ช่วยสนับสนุนมาร์จิ้นรวมของบริษัท โดย ไตรมาส 1 ปีนี้ มีมาร์จิ้นที่ 66% ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ ซึ่งอยู่ที่ 64.6% สำหรับห้างสรรพสินค้า (Department Store) สัดส่วน 19% มีรายได้ 170 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ณ สิ้นเดือนก.ย. 2566 มีเงินสดทั้งสิ้น 1,675 ล้านบาท และยังคงเป็นบริษัทที่มีสถานะไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผลักดันภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิงวดปี 2567 ให้เติบโตต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้

นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นยังคงได้รับเงินปันผลในอัตราเกือบ100% ต่อเนื่องมานับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทฯ ยังคงมีนโยบายปันผลแบบนี้ต่อไป ซึ่งเมื่อนักลงทุนถือหุ้น MC จะมีผลตอบแทนจากเงินปันผล (Div yield) ในระดับ 5- 7% ต่อปี ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 30 มิ.ย. 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาท จากผลประกอบการที่เพิ่ม 129 ล้านบาท

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้ม ก.ล.ต. มอบประกาศเกียรติคุณ “องค์กรที่สร้างคุณค่าในด้านการให้ความรู้แก่สังคม”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  รับมอบใบประกาศเกียรติคุณ และเชิดชูเกียรติในการเป็น “องค์กรที่สร้างคุณค่าในด้านการให้ความรู้แก่สังคม” จากการเข้าร่วมโครงการตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีนางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง  รองกรรมการผู้จัดการ นางพรชนก บัญชาเมตตากุล รองกรรมการผู้จัดการ นายอลงกรณ์ สวัสดิภาพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นายโสฬส มั่นคง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นายชวลิต กุลจงกล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นายประกาศิต ดำรงศรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประกันชีวิตควบการลงทุนและกองทุนรวม ร่วมในพิธี ณ  เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ โครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน” ริเริ่มโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  เพื่อผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะด้านการเงินการลงทุน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการ เงิน พ.ศ. 2565-2570 ของกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งได้เชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เข้าร่วมโครงการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2566 มีผู้ประกอบธุรกิจให้ความสนใจในการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว พร้อมนำส่งรายงานผลการดำเนินกิจกรรมการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะในด้านการเงินการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีองค์กรที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาในการเชิดชูเกียรติ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจาก ก.ล.ต. ทั้งสิ้นจำนวน 7 แห่ง

CPF ขนทัพอาหารกว่า 10 เมนู ยกระดับอาหารดูแลสุขภาพเชิงรุก ปรับสูตรลดโซเดียม อร่อยฟินใจ ไกลโรค

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกระดับการผลิตอาหารแปรรูปเพื่อดูแลสุขภาพเชิงรุกให้คนไทยไกลโรค ปรับสูตรอาหารลดโซเดียม ที่ยังคงความอร่อย ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ ภายใต้แนวความคิด “อร่อยฟินใจ ไกลโรค”

ซีพีเอฟ นำสินค้าอาหารลดโซเดียมและอาหารที่มีปริมาณโซเดียมเหมาะสมผ่านเกณฑ์ WHO มากกว่า 10 รายการ ร่วมจัดแสดงและให้ทดลองชิม ณ บูธ สินค้า CP Lower sodium อร่อยฟินใจ ไกลโรค ในงาน “นิทรรศการ ครบรอบ 10 ปี ลดเค็ม ลดโรค เค็มน้อย อร่อยได้” จัดโดยเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2566 เวลา 10.30-18.30 น. ณ Zone Eden ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การส่งเสริมให้คนไทยลดการบริโภคโซเดียมมาตลอด 10 ปี ของเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลและกระทรวงฯ ที่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพคนไทยให้แข็งแรง สมบูรณ์ ห่างไกลจากโรค โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายลดอัตราผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ (Non-Communicable Diseases : NCDs) ที่ต้นเหตุสำคัญมาจากการบริโภคอาหารหวาน มันและเค็ม โดยเฉพาะบริโภคโซเดียมในปริมาณมาก

“สิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี คือ การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ต้องเกิดจากความพร้อมและความเต็มใจ การจัดงานครบรอบ 10 ปี ลดเค็ม ลดโรค “เค็มน้อย อร่อยได้” ในครั้งนี้ ทำให้เห็นการสานพลังของเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านอาหาร ที่มีความตระหนักรู้และใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค ปรับสูตรผลิตภัณฑ์อาหารที่ลดปริมาณโซเดียมลง แต่ยังคงรสชาติที่ดี เพื่อให้ผู้บริโภคมีความสุขทั้งกายและใจ ให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคมไทยและสังคมโลกต่อไป” นายวิชาญกล่าว

สำหรับสินค้าอาหารปรับสูตรลดโซเดียมที่ CPF ได้นำมาจัดให้ผู้บริโภคทดลองชิม เพื่อร่วมกระตุ้น ส่งเสริม และรณรงค์ให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ เรื่องการลดบริโภคเค็ม ได้แก่ CP โบโลน่าพริกสูตรใหม่ โซเดียมลดลงมากกว่า 25%, CP สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าและสปาเก็ตตี้ไก่สับ โซเดียมน้อยลง 30%, ไส้กรอก CP FI IT โซเดียมลดลง 38% และอาหารที่มีปริมาณโซเดียมเหมาะสมผ่านเกณฑ์ WHO มากกว่า 10 รายการ อาทิ CP Delight ข้าวสามสีอกไก่นุ่ม และน้ำจิ้มแจ่ว โดยมีจำหน่ายที่ เซเว่นอีเลฟเว่น แม็คโคร โลตัส และห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ

ผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพพร้อมส่วนลด 50%

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำนโยบายการสนับสนุนในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า มอบสิทธิประโยชน์ Happiness Every Day สุข..ไม่สิ้นสุด สำหรับผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold ด้วยสิทธิพิเศษและส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากหลากหลายพันธมิตรชั้นนำด้านสุขภาพทั่วประเทศ

โดยร้านค้าที่ร่วมรายการ อาทิ Cross Pattaya Pratamnak, Itz Time Hua Hin Pool Villa by Cross Collection, The Coral Executive Lounge, The Oasis Spa และ White Glove Delivery Service by World Reward Solutions ด้านโรงพยาบาลที่ร่วมรายการ โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย, โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ โรงพยาบาลนนทเวช, โรงพยาบาลพระรามเก้า และโรงพยาบาลไทยนครินทร์ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ที่สนใจโปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและจองใช้บริการล่วงหน้า

นอกจากนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold รับเครดิตเงินคืน 0.25% เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของเมืองไทยประกันชีวิต แบบไม่จำกัดจำนวนเงินคืน และพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรฯ ระดับ Pink Gold รับเครดิตเงินคืน 1% เมื่อชำระค่าเติมน้ำมัน ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ ตั้งแต่ 800 บาท ขึ้นไป/เซลล์สลิป

รวมถึง ฟรี พักผ่อนก่อนบินระหว่างประเทศ ด้วยสายการบินไทย ที่ Miracle Lounge และฟรี พักผ่อนก่อนบินในประเทศ ด้วยสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ (เฉพาะบัตร Pink Gold เท่านั้น) ที่ Miracle Lounge ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ประกันภัยเดินทางต่างประเทศ วงเงินสูงสุด 6 ล้านบาท รับคะแนนสะสม 2 ต่อ ทั้งคะแนนสะสม Kbank Reward Point และคะแนน Smile Point เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เป็นต้น

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด สามารถศึกษาเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th หรือคลิก บัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด หรือโทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ K Contact Center 02-888-8888

AIS ปลื้ม เอไอเอส อดาเคมี่ คว้ารางวัล Steward Leadership 25 ติดอันดับโครงการดีที่สุดและเป็นเลิศในเอเชีย

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส และกลุ่มอินทัช กล่าวในวาระที่เป็นตัวแทนรับรางวัล Steward Leadership 25 (SL25) ณ ประเทศสิงคโปร์ ว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ เอไอเอส อคาเดมี่ ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมโทรคม รายแรก 1 เดียวของไทย ที่ได้รับรางวัล Steward Leadership 25 (SL25) โดยเป็นการจัดอันดับจาก 25 โครงการที่ดีที่สุดจากบริษัทชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค สำหรับความเป็นเลิศในแง่ของการใช้ EdTech ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังสร้างผลกระทบเชิงบวก พร้อมจุดประกายในการพัฒนาทักษะรับมือ Digital Transformation ให้แก่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง”

“เรายึดหลักการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Ecosystem Economy หรือ เศรษฐกิจแบบร่วมกัน  ซึ่งหนึ่งในหัวใจหลัก คือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและส่งต่อสู่ประชาชนเพื่อให้มีขีดความสามารถพร้อมรับมือบริบทของโลกที่เข้าสู่ยุคดิจิทัล ผ่าน เอไอเอส อคาเดมี่  ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลากว่า 8 ปี สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศและสอดคล้องกับเกณฑ์การตัดสินของรางวัลนี้ที่มุ่งเน้นเรื่องการสร้างผลกระทบในเชิงบวกด้านบริหารจัดการให้แก่สังคมและประเทศ ประกอบด้วย

  1. เพิ่มทักษะและพัฒนาขีดความสามารถให้แก่พนักงานในองค์กร ที่เรียนรู้ด้วยตัวเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ผ่าน Digital Educational Platform ในชื่อ LEARN DI
  2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาทักษะในโลกยุคดิจิทัล ผ่านการขับเคลื่อนชุมชนแห่งการเรียนรู้ให้แก่คนไทย อาทิ ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์, เสริมสร้างความสามารถในการสอนให้แก่ครู อาจารย์ ในโครงการ  Educators , เพิ่มขีด ความสามารถให้กับติวเตอร์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลในการออกแบบการเรียนการสอน ในโครงการ Tutors Thailand เป็นต้น
  3. สร้างโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมให้แก่บุคลากรเอไอเอสและบุคคลภายนอกผ่านโครงการ Jump Bootcamp Thailand ที่บ่มเพาะและสนับสนุนให้เกิดไอเดียใหม่ๆในการใช้ดิจิทัลเข้ามาแก้ปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. เตรียมเยาวชนให้พร้อมสำหรับความสามารถทางวิชาชีพ กับโครงการ อุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ ที่ร่วมกับภาครัฐอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำองค์ความรู้ฝึกอบรมผ่าน Digital Platform
  5. กระตุ้นให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรม EdTech ของไทยไปอีกขั้น อย่างสอดคล้องกับบริบทของโลกดิจิทัลที่เดินหน้าอย่างรวดเร็ว 

สำหรับรางวัล Stewardship Asia Centre (SAC) 25 (SL25) เป็นการจัดอันดับ 25 โครงการที่ดีที่สุด ด้านความเป็นเลิศจากบริษัทเอกชนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่แสดงออกอย่างแน่วแน่ในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมนำขีดความสามารถมาช่วยแก้ปัญหาและจัดการกับประเด็นความท้าทายที่เกิดขึ้นในสังคมหรือสิ่งแวดล้อม โดยสร้างผลกระทบเชิงบวกที่จับต้องได้ พร้อมด้วยนวัตกรรมที่เป็นเลิศ อย่างแตกต่างจากบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน

รางวัลนี้ริเริ่มจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่ม Temasek Holdings โดยมีผู้ร่วมในการจัดตั้งรางวัลนี้ ประกอบด้วย Stewardship Asia Center (SAC), สถาบัน INSEAD’s Hoffmann Global Institute for Business and Society, (หนึ่งในสถาบันในเครือของ UN  ที่มีเป้าหมายในการจัดเตรียมเครื่องมือและกรอบการทำงานให้กับผู้นำธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกสำหรับธุรกิจ ชุมชน ผู้คน และโลก ตามเป้าหมาย SDGs),  Willis Towers Watson PLC (WTW) บริษัทผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากประเทศอังกฤษ และ The Straits Times สื่อมวลชนชั้นนำของประเทศสิงคโปร์

นางสาวกานติมา กล่าวว่า “การเดินไปข้างหน้าขององค์กร และ ประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความพร้อมกับการเดินไปข้างหน้าดังกล่าว และเอไอเอส โดย เอไอเอส อคาเดมี่ พร้อมที่ใช้จุดแข็งด้านดิจิทัลของเราร่วมทำหน้าที่นี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศอย่างต่อเนื่อง”

AWC – CIMB Thai ลงนามสินเชื่อด้านความยั่งยืน 3,000 ล้านบาท

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMB Thai ร่วมลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน  โดยมุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ สร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อร่วมสร้างประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

มร. พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนาคารมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ AWC ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย โดยการจัดสินเชื่อดังกล่าวถือเป็นสินเชื่อแรกที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ CIMB Thai จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงานการพัฒนาโครงการของ AWC ที่นำแนวคิดด้านความยั่งยืนมาใช้ในกระบวนการพัฒนาต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ CIMB Group ที่ได้ตั้งเป้าหมายขยายวงเงินสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนจำนวน 1 แสนล้านริงกิต (ประมาณ 7.7 แสนล้านบาท) ภายในปี 2567 สำหรับโครงการและความคิดริเริ่มที่ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของ AWC ในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย จะสามารถนำสินเชื่อนี้ไปช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวของไทยตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เป็นที่ยอมรับและเป็นแบบอย่างในระดับสากล”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC มีความยินดีมากที่ได้ร่วมมือกับ CIMB Thai กลุ่มการเงินชั้นนำที่มีเครือข่ายแข็งแกร่งในภูมิภาค รับสินเชื่อที่เชื่อมโยงความยั่งยืนที่ออกเป็นครั้งแรกของธนาคาร โดย AWC จะนำสินเชื่อนี้ไปสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย (Sustainability Performance Targets หรือ SPTs) ด้วยการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมโดยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และวัดผลตามมาตรฐานดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Rating ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับ CIMB Thai เป็นการร่วมรวมพลังของพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยต่อไป”  

ปัจจุบัน AWC ได้รับการจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนจากสถาบันการเงินชั้นนำกว่าร้อยละ 76 ของสินเชื่อทั้งหมด และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100 เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ โดย AWC จะนำสินเชื่อดังกล่าวไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ 3BETTERs คือ BETTER PLANET, BETTER PEOPLE และ BETTER PROSPERITY โดยเฉพาะการดำเนินงานอย่างยั่งยืนด้านการสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) ในมิติของการพัฒนาอาคารอย่างยั่งยืนที่ AWC ได้มีการยกระดับมาตรฐานอาคารในด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 20.6 เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังได้ริเริ่มโครงการร่วมกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศ อาทิ โครงการ “AWC Stay to Sustain” เพื่อร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชนทั่วประเทศ เป็นไปตามโร๊ดแมปสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573

AWC ดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปี 2566บริษัทได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022”  รวมถึงได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Ratings ในระดับ “AA” นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings อยู่ที่ระดับ ‘A’ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) และติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงกลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือ AWC จำนวน 25 แห่งได้รับประกาศนียบัตร “ดาวแห่งความยั่งยืน” หรือ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) จากทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)