Home Blog Page 10

ซีพี ออลล์ – วิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก สปป.ลาว เซ็น MOU ความร่วมมือยกระดับการศึกษาด้านอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในอาเซียน 

วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ประเทศไทย ร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โดยได้รับเกียรติจาก ดร. สุลิอุดง สุนดาลา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา สปป.ลาว พร้อมด้วยท่านหนูพัน อุดสา อธิบดีกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและกีฬา สปป.ลาว และ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน   

นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ ดร.สายสะหมอน งามสี ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก พร้อมด้วยนายวิเชียร เนียมน้อม ผู้แทนผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ท่านดวงดี สิลิบาง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก ร่วมลงนามพยาน และคณะผู้บริหารทุกฝ่ายร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมปัญญางาม ชั้น 5 วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์

ความร่วมมือดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย เพื่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ให้แก่ผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจค้าปลีก สาขางานธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และสาขาอื่น ๆ ที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ ตลอดจนการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์จริงจากการฝึกปฏิบัติ การฝึกอาชีพในสถานประกอบการ โดยวิทยาลัยฯ จะร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรม ตามหลักสูตรอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี พร้อมทั้งประสานความร่วมมือในการฝึกอบรมและพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อมุ่งผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องยั่งยืนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและสถานประกอบการ ทั้งในและต่างประเทศ ตามเจตนารมณ์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้

เพราะการศึกษาคือโอกาสทั้งในปัจจุบันและอนาคตของเยาวชนและประเทศชาติ ซีพี ออลล์ มีนโยบายส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน โดยสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนค่าครองชีพ รูปแบบการเรียนการสอนผ่านหลักสูตรที่ทันสมัยเรียนรู้ภาคทฤษฎีควบคู่การปฏิบัติจริง Work-based Education (WBE) เพื่อส่งเสริมความสามารถ พัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนให้เป็น “คนเก่ง คนดี”

ผู้ถือหุ้น MC เฮ! เงินปันผลเข้าแน่ 12 มี.ค.นี้

บมจ. แม็คกรุ๊ป  หรือ  MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์”  แบรนด์ยีนส์อันดับ 1 ของไทย ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง! รอรับเงินปันผลแบบปัง!! ในวันที่ 12 มี.ค. 2567  หลังขึ้น XD จ่ายปันผล 28 ก.พ. 2567 หรือให้เข้าใจง่ายๆ อยากได้รับเงินปันผลของแม็คยีนส์จะต้องเข้าซื้อหุ้นก่อนวันที่ 28 ก.พ.นี้ นั่นเอง ใครถือหุ้นมากได้เงินปันผลมากกว่ากันแบบนั้น!    

          ทั้งนี้ คณะกรรมการ(บอร์ด) MC อนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท หลัง “แม็คกรุ๊ป” กำไรสร้างสถิติสูงสุดต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 ทำได้ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูงที่ระดับ 64% อัตรากำไรสุทธิ 21.5% รับอานิสงส์เชิงบวกจากทุกๆ มาตรการและฤดูกาล ดันยอดช้อปงวดครึ่งปีพุ่งทะลุ 2,184 ล้านบาท!!!

           MC จัดว่าเป็นหุ้นที่ติดทำเนียบหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงเกือบ100% ของกำไรสุทธิ และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลมากกว่า 5% ในทุกๆ ปี จากสถิติ MC ปันผลมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเกิน 10 ปี…ดังนั้นใครถือหุ้น MC หรือมีหุ้น MC ในพอร์ต เท่ากับว่ามี Passive Income ทุกๆ ครึ่งปีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

          “แม็คกรุ๊ป” หลังจากประกาศงบงวดไตรมาส 2 และครึ่งปีบัญชี 67 ต้องบอกเลยว่า หัวกระไดบ้านไม่แห้ง ทั้งนักวิเคราะห์ทั้งนักลงทุนเข้าพบขอข้อมูลแทบทุกวัน เหตุเพราะเซอร์ไพรส์ กำไรนิวไฮ!! และหลังจากนักวิเคราะห์ได้รับฟังข้อมูล จาก “คุณเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์” ซีอีโอ แม็คกรุ๊ป ก็เขียนบทวิเคราะห์ โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำซื้อ หุ้น MC ให้ราคาเป้าหมาย สูงสุด 16.20 บาท และราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15.50 บาท  

          อาทิ เช่น  บล.ทิสโก้  มีมุมมองเชิงบวกต่อการออกสินค้า Segment ใหม่  ได้แก่  MC Underwear เพิ่มขึ้นของสินค้า Non-Denim ที่จะสนับสนุนยอดขายให้โตต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก MC มี SSG อยู่ที่ 8% YoY จํานวนสาขาอยู่ที่ 570 สาขา รวมไปถึงความสําเร็จจากการขายสินค้าผ่านช่องทาง Online โดยเฉพาะ TikTok ซึ่ง MC ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.50 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 3.5% (Payout ratio 96%) ยังคงแนะนำ แนะนำซื้อพร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เป็น 16.20 บาท จาก 14.30 บาทหลังโชว์ผลงานดีกว่าตลาด!!

TNL อู้ฟู่ ขายหุ้นบ.ย่อย“ทีเอ็นแอลเอ็กซ์” ให้ ไอ.ซี.ซีฯ เกลี้ยง 670 ล.

นายกิตติชัย ตรีรัชตพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL เปิดเผยว่า TNL จะจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่ถือในบริษัท ทีเอ็นแอลเอ็กซ์ จำกัด หรือ TNLX (บริษัทย่อยที่ TNL ถือหุ้น 100%) ให้กับผู้ซื้อจำนวน 4 ราย โดยมีบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ICC ซึ่งเป็นคู่ค้ากับ TNLX อยู่เดิม กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในสัดส่วน 70% ขณะที่ผู้ซื้อที่เหลืออีก 3 ราย เป็นบริษัทภายในเครือสหพัฒน์ ประกอบด้วย บริษัท ไอ.ดี.เอฟ. จำกัด บริษัท บีเอสซี โซอิน จำกัด และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โดยจะเป็นพันธมิตรที่จะช่วยส่งเสริมการสร้างเครือข่ายพันธมิตรให้กับ TNLX ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 และคาดว่ากระบวนการซื้อขายทั้งหมดจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2567

ปัจจุบัน TNLX ประกอบธุรกิจธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีประสบการณ์ยาวนานเกือบ 50 ปี โดยเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องหนังสำหรับผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กภายใต้เครื่องหมายการค้าสากลที่ TNLX ได้รับลิขสิทธิ์ อาทิ ARROW , Guy Laroche, DAKS, ELLE, Absorba เป็นต้น รวมถึงเครื่องหมายการค้าของ TNLX เอง อาทิ Era-won เป็นต้น เพื่อจำหน่ายในประเทศ รวมถึงเป็นผู้ผลิตสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องหนังเพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าต่างประเทศ โดยที่ลูกค้าในประเทศรายสำคัญของ TNLX คือ ICC

นายกิตติชัย กล่าวว่า การจำหน่ายหุ้นทั้งหมดใน TNLX ของบริษัทในครั้งนี้ให้กับ ICC ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าของธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่มห่มที่สำคัญของบริษัทมายาวนาน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับทั้ง 2 ฝ่าย โดยบริษัทจะได้รับเงินสดจากธุรกรรมในครั้งนี้จำนวน 670 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินดังกล่าวมาลงทุนในธุรกิจการเงิน Asset Financing และ Secured AMC โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ Secured AMC ซึ่งคาดว่าจะมี supply จากธนาคารพาณิชย์ที่จะปล่อย NPLs มาขายในตลาดไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว หรือประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโอกาสที่สำคัญของบริษัทในการเข้าซื้อ NPLs ที่มีศักยภาพเพื่อสร้างความเติบโต มากกว่านั้น ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนจากการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีโครงสร้างธุรกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้นทั้งแง่ของการจัดสรรทรัพยากรและการบริหารจัดการ โดยมุ่งเน้นที่ธุรกิจการเงินและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะส่งเสริมกัน

ทั้งนี้ TNL ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร และเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ โดยการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น New Engines มาเสริมทัพธุรกิจเดิมทำให้โครงสร้างธุรกิจของบริษัทเติบโตจากการเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว เป็นการประกอบธุรกิจใน 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่เดิม และเสริมทัพด้วยธุรกิจใหม่ซึ่งได้แก่ 2. ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Asset Financing) 3. ธุรกิจการเงินประเภทธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) และ 4. ธุรกิจการลงทุนในบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate for Sale)

โดยตลอดปี 2566 TNL ได้เดินหน้าสร้างการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงิน ทั้งธุรกิจ Asset Financing และธุรกิจ AMC อย่างเต็มที่ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี แม้จะเป็นผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจแต่สามารถสร้างการเติบโตที่ดี โดยในปี 2566 บริษัทมีกำไรจากธุรกิจการเงินกว่า 320 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 55% ของกำไรทั้งหมด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

“การเพิ่ม 3 Engines ใหม่ นอกจากสร้าง Synergy ภายในกลุ่มบริษัทแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง จากการที่บริษัทมีธุรกิจ Asset Financing ซึ่งมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันหลัก และมีธุรกิจ AMC ที่เน้นสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน รวมถึงการมี engine ของธุรกิจ Real Estate for Sale ทำให้เรามีเครือข่ายและความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี จะเป็นหนึ่งในจุดแข็งและเป็น Synergy ที่สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทในระยะยาวได้” นายกิตติชัย กล่าว

สำหรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการจำหน่ายหุ้น TNLX ในครั้งนี้ จะไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการลดลงของกำไรสุทธิของบริษัท เนื่องจาก TNLX มีสัดส่วนกำไรสุทธิประมาณ 8% ของกำไรสุทธิในปี 2566 และบริษัทยังสามารถนำเงินรับจากการจำหน่ายหุ้นดังกล่าวไปขยายการลงทุนได้ (Reinvestment) อย่างไรก็ดีจะส่งผลต่อโครงสร้างรายได้ตามงบการเงินของบริษัทเปลี่ยนแปลง จากเดิมรายได้จากการขายซึ่งมาจาก TNLX เป็นหลักอยู่ที่ 56% ของรายได้รวมปี 2566 จะเปลี่ยนเป็นการมีรายได้จากธุรกิจด้านการเงิน ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับ ที่มาจากธุรกิจการให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และรายได้จากค่าที่ปรึกษาและการกำกับดูแลโครงการ ซึ่งมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายแทน ในระยะยาวการเปลี่ยนแปลงนี้จะสามารถผลักดันรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ส่วนทิศทางจากนี้ บริษัทในรูปโฉมใหม่ภายหลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและการบริหาร จะมุ่งเน้นการสร้าง ecosystem ของธุรกิจการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับ Asset financing และ Secured AMC อย่างครบวงจร โดยในปี 2567 จะมุ่งการขยายพอร์ตสินเชื่อในธุรกิจ Asset financing และพอร์ต Secured NPLs อย่างต่อเนื่อง นอกจากให้ความสำคัญกับการผลักดันธุรกิจให้เติบโตแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของบริษัทโดยยึดหลักการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ บริหารจัดการธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมั่นใจว่าการเติบโตนี้จะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน

ซีพี ออลล์ ส่งความสุขเทศกาลวันแห่งความรักเปิดบ้านชวนน้องๆ ตะลุย 7 Kids Club

เข้าสู่เทศกาลวันแห่งความรัก ทุกพื้นที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความสุขอีกครั้ง มองไปทางไหนก็เห็นช่อดอกไม้  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พร้อมใจเปลี่ยนเป็นสีชมพูสะพรั่ง… ในปีนี้ซีพี ออลล์ เปิดบ้านชวนน้องๆ มาตะลุย 7 Kids Club หรือร้านเซเว่น อีเลฟเว่นจำลองขนาดเล็ก ส่งความสุขเทศกาลวันแห่งความรัก ให้น้องๆ หนูๆ โรงเรียนวัดบ่อ (นันทวิทยา) มาเปิดประสบการณ์ร่วมสนุกไปกับร้านเซเว่น อีเลฟเว่นจำลอง และฐานกิจกรรมเสริมทักษะการเรียนรู้ภายในงาน

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เด็กๆ ชื่นชอบและมีความสุขเมื่อได้เข้าไปสัมผัส บริษัทฯจึงเกิดความตั้งใจสร้าง 7 Kids Club หรือร้านเซเว่น อีเลฟเว่นจำลองขนาดเล็กสำหรับเด็กๆ เพื่อให้เด็กๆ ได้มาเปิดประสบการณ์สวมบทบาทมาเป็นพนักงานขายของ ซื้อของ ได้สัมผัสความสนุก ได้เกิดจินตนาการ โดยทางบริษัทฯได้เริ่ม Kick off จัดกิจกรรม CP ALL KIDS DAY 2024 ไปในเดือนมกราคม เนื่องในวันเด็กแห่งชาติที่ผ่านมา และในเดือนกุมภาพันธ์ ถือเป็นเดือนแห่งความรัก ซีพี ออลล์ตั้งใจจัดงาน “CP ALL เปิดบ้านชวนน้องตะลุย 7 Kids Club #1” เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้กับน้องๆ โรงเรียนวัดบ่อ (นันทวิทยา)  ในเทศกาลวันแห่งความรัก

โดยภายในงานมีผู้บริหาร พนักงานซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น มาร่วมสร้างความสุข  บรรยากาศใน “7 Kids Club”อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ของเด็กๆ โดยทุกคนจะได้ลองสวมบทบาทเป็นพนักงานเซเว่นฯ ตามที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานแคชเชียร์, พนักงานเติมสินค้า มีภารกิจเติมสินค้าให้เต็มเชลฟ์ หรือจัดวางสินค้าให้ตรงประเภท, พนักงาน All Café’ ชงเมนูที่ชอบให้ผู้ปกครองและชงเมนูของตัวเอง, พนักงาน Chef  อบแซนวิซ และอุ่นอาหารด้วยตัวเอง, พนักงาน Delivery ไปส่งของให้ผู้รับตามโจทย์ที่กำหนด, พนักงาน Design ระบายสี และตกแต่งรูปร้าน หรือสินค้า  และเป็นนักช้อปออนไลน์ 7 Verse, All Online  เข้าช้อปปิ้งในร้านเสมือนจริง  

นอกจากนี้น้องๆ ยังได้ร่วมกิจกรรม 7 Go Green ฐานส่งเสริมแนวคิดรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมเพ้นท์กระถางและปลูกต้นไม้ และกิจกรรม 7 Art ฝึกศิลปะออกแบบหน้ากากแห่งความฝันกับพี่ๆ มืออาชีพ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ซีพี ออลล์ ตั้งใจรังสรรค์ออกมาให้เป็นสถานที่แห่งความสนุกของเด็กๆ

Giving and Sharing ปณิธานที่ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น มุ่งมั่นขับเคลื่อนเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้และแบ่งปันชุมชน สังคม ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ผู้บริหาร พนักงานทุกคนตั้งใจที่จะสร้างความสุข รอยยิ้ม และความทรงจำที่ประทับใจให้เด็กๆ ผ่าน 7 Kids Club ในเทศกาลแห่งความรัก เกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ พร้อมเปิดบ้านให้เด็กๆ อนุบาลถึงประถมต้นที่สนใจได้มาทำกิจกรรม  7 Kids Club ได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย

ซีพี ออลล์ ขอบคุณคนไทยอุดหนุนสินค้า SME ผ่านร้านเซเว่นฯ ปี 66 กว่า 2 หมื่่นล. เดินหน้าดันต่อ

ซีพี ออลล์ ขอขอบคุณคนไทย ที่ร่วมสนับสนุนสินค้า SME ของผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในปี’66 เผยช่วยกระจายรายได้กลับสู่ชุมชนคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท ดันจำนวนสินค้า SME ในร้านเซเว่นฯ พุ่งสู่ 9,763 รายการ ประกาศปี’67 พร้อมเดินหน้า “กลยุทธ์ 3 ให้” เต็มสูบ เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ เร่งขยายโอกาส สร้างรายได้และยกระดับ SME ทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าเพิ่มสินค้า SME ใหม่ 10% พร้อมส่ง เสริม สนับสนุน SME ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินงานสนับสนุน SME ในปี 2566 ภายใต้ปณิธาน “Giving & Sharing” และ “กลยุทธ์ 3 ให้” ได้แก่ 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สามารถสร้างผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่ที่มีศักยภาพได้ 197 ราย เพิ่มจากปี 2565 ที่สร้างได้ 163 ราย ส่งผลให้เซเว่น อีเลฟเว่น มีผู้ประกอบการ SME ที่เป็นคู่ค้ารวมอยู่ที่ 1,216 ราย มีจำนวนสินค้า SME รวมทั้งสิ้น 9,763 รายการ เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า สามารถช่วยกระจายรายได้กลับสู่ชุมชนและท้องถิ่น ผ่านการมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ เช่น เกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตร เพื่อส่งให้ผู้ประกอบการนำไปแปรรูปเป็นสินค้าเพื่อจำหน่าย  หรือในส่วนของชุมชน/วิสาหกิจชุมชนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการที่ช่วยผลิตสินค้า เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชน โดยคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 20,000 ล้านบาท

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล

“ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่เซเว่น อีเลฟเว่น ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME พบว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการ SME ประสบความสำเร็จคือ การได้รับแรงสนับสนุนที่ดีจากผู้บริโภค โดย เซเว่นฯ เป็นเพียงห้องเรียนและที่ปรึกษาในการช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาศักยภาพ ผ่าน “กลยุทธ์ 3 ให้” เท่านั้น โดยมีผู้บริโภคเป็นครูคนสำคัญที่คอยให้โจทย์ในการพัฒนาสินค้า เพื่อให้ได้ตรงตามความต้องการและเป็นผู้สนับสนุนอย่างแท้จริง ส่งผลให้เซเว่นฯ ในปี 2566 มีผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่ รวมกว่า 1,000 ราย ผ่านกิจกรรมและโครงการการให้ความรู้หลากหลายด้าน ทั้งด้านการตลาดยุคใหม่ การเขียนคอนเทนท์กระตุ้นยอดขาย ด้านมาตรฐานการผลิต ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางอาหาร อาทิ โครงการ SME x Influencer, DIPROM MOVE TO MODERN TRADE สัมมนาโตไกลกับการตลาดยุคใหม่ เพราะเซเว่น อีเลฟเว่น เชื่อว่า รากฐานความรู้ คืออาวุธสำคัญ สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ท่ามกลางทุกสมรภูมิการค้า” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

นอกจากด้านการให้ช่องทางขาย และการให้ความรู้แล้ว ในด้านการให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ผู้ประกอบการ SME ต่างก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมสูงถึง 399 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีจำนวน 291 ราย มีกิจกรรมเชื่อมโยง SME กับสถาบันการเงิน ช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น รวมถึงมีกิจกรรมเชื่อมโยงSME กับซัพพลายเออร์ รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่น ยกระดับให้เกิดสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ 

นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2567 เซเว่น อีเลฟเว่น จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการผ่าน กลยุทธ์ 3 ให้” ภายใต้ธีม “SME โตไกลไปด้วยกัน อย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SME ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย โดยเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายยังคงเป็น ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME ที่ดำเนินการให้คำปรึกษา สนับสนุน และส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกด้านรวมถึงการจัดกิจกรรมและโครงการความร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมสานต่อโครงการเดิมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME อาทิ โครงการเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน, DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ซึ่งในปีนี้จะเป็นปีที่ 3 และโครงการ Thailand Synergy เพื่อ SME ไทย ที่จะช่วยเพิ่มช่องทางขายให้กับ SME

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าพัฒนากิจกรรมและโครงการใหม่ๆ เพื่อมุ่งสนับสนุน SME แบบรอบด้าน อาทิ โครงการ “ตอกเสาเข็มเพื่อ SME” หลักสูตรพิเศษถ่ายทอดองค์ความรู้แบบเข้มข้นให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เป็นคู่ค้า เพื่อเสริมพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ โดยเริ่มโครงการไปแล้วเมื่อต้นปี 2567 หรือโครงการเตรียมความพร้อมสู่การระดมทุนในตลาดทุน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่ที่อยู่ในแผนงานอีกหลายโครงการให้ผู้ประกอบการได้ร่วมพัฒนาเสริมศักยภาพ โดยจะขยายกรอบความร่วมมือไปยังต่างจังหวัด เพื่อขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรได้เข้าถึงกิจกรรมดีๆ ง่ายขึ้น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริม SME ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริงในอนาคต

สำหรับ กลยุทธ์ 3 ให้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการ SME นำเสนอสินค้าเพื่อจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และผ่านช่องทางออนไลน์ 2. ให้ความรู้ ในการพัฒนาสินค้าจนสามารถขายได้แข่งขันได้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนจัดโครงการและกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME

“แม็คกรุ๊ป” อวดกำไรไตรมาส 2 พุ่ง 283 ล. ครึ่งปีโกยรายได้จากยอดขายทะลุ 2.1 พันล.

“แม็คกรุ๊ป” สร้างสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 ทำกำไรได้ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูงที่ระดับ 64% อัตรากำไรสุทธิ 21.5% รับอานิสงส์เชิงบวกจากทุกมาตรการภาครัฐ และฤดูกาลท่องเที่ยว ดันยอดช้อปงวดครึ่งปีพุ่งทะลุ 2,184 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติปันผลงวดกลางปี 0.50 บาท

เจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แม็คกรุ๊ป

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 (1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เทียบไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 14.8%  เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 64% มีอัตรากำไรสุทธิที่ 21.5%  

อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส หนุนให้ งวด 6 เดือนแรกปีบัญชี 2567 (1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2566) มีกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ไตรมาส 2 ของปีบัญชี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ารวม 1,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 420 ล้านบาท หรือ 47.61% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 186 ล้านบาท หรือ 16.6% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 1,117 ล้านบาท หนุนให้งวดครึ่งแรกของปีบัญชี 67 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ารวมทั้งสิ้น 2,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 308 ล้านบาท หรือ 16.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกำลังซื้อที่กลับมาในช่องทางออฟไลน์และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเติบโตในช่องทางออนไลน์ และได้รับอานิสงส์จากมาตรการของภาครัฐรวมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศที่กลับมาคึกคัก การปรับตัวลดลงของราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาด กำลังซื้อกลับเข้ามาทั้งในช่องทางออฟไลน์ ได้แก่ ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) 68% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกอยู่ที่ 66%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 19%, ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 10% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 3%

ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางค้าปลีกของตนเองเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 มีรายได้ 889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150 ล้านบาท หรือ 20.3% งวด 6 เดือน มีรายได้ 1,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243 ล้านบาทหรือ 19.8% จากกำลังซื้อที่กลับมาจากการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน Mc Outlet ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนุนให้บริษัทฯ มีจุดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 570 จุด

ขณะที่ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 มีรายได้ 129 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41 ล้านบาทหรือ 46.7% ส่วนงวด 6 เดือนมีรายได้ 229 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76 ล้านบาทหรือ 49.8% ซึ่งแบรนด์แม็คยีนส์มียอดขายอันดับ 1 สูงสุดในแพลตฟอร์ม TIKTOK หมวดหมู่สินค้าเสื้อผ้าผู้ชาย

บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลัก ที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย พร้อมปรับเกมการตลาดเน้นทำ Product Mix การส่งเสริมการขายและการบริหารช่องทางการขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลดำเนินรวมของบริษัทฯ เติบโต หนุนให้ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ขึ้นไปอยู่ที่ 18.1% จาก 17.4% เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2566

 “แม็คกรุ๊ป” ยังคงสถานะการเป็นบริษัทฯ ไม่มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน ขณะที่เงินสดในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีเงินสดอยู่ 1,719 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งต่อเนื่องส่งผลให้คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.50  บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเกือบ 100% ของกำไรสุทธิ และให้อัตราผลตอบแทนกับผู้ถือหุ้นประมาณราว 3.5-4%

AIS ชู LIVING NETWORK ครั้งแรกในไทยยกระดับสู่ “เน็ตเวิร์คมีชีวิต ที่ทำได้มากกว่าการสื่อสาร”

ขนทัพสมาร์ทโฟนแห่งปี พร้อมโปรสุดฉ่ำส่วนลดสูงสุด 80% ในมหกรรม ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2024

AIS ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ยกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและ AI สู่การส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลสุดล้ำให้กับคนไทย ชูความสำเร็จครั้งแรกในไทยกับการเปิดตัว LIVING NETWORK หรือเน็ตเวิร์คมีชีวิต ทั้งโมบายล์ และเน็ตบ้าน ที่ลูกค้าสามารถเป็นผู้ควบคุม เลือกและออกแบบการใช้งานได้เองตามไลฟ์สไตล์ พร้อมส่งมอบประสบการณ์ความเร็วแรงของโครงข่าย ผ่าน Smart Device อาทิ เกมมิ่งโฟน จาก 2 พาร์ทเนอร์ ทั้ง ROG Phone 8 Series และ RedMagic 9 Pro รวมถึงสุดยอดสมาร์ทโฟนจากหลากหลายแบรนด์ดังที่ขนทัพกันมาส่งมอบความพิเศษ จัดเต็มโปรโมชั่นและส่วนลดสูงสุดถึง 80% ในมหกรรมมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ “ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2024” ระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูธ AIS ประตู 1 ฮอลล์ 5

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “การเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะคือภารกิจสำคัญของ AIS ที่ต้องสามารถยกระดับความอัจฉริยะและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ใช้งานผ่านโครงข่ายของ AIS ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งวันนี้เราพร้อมแล้วที่จะเปิดตัว LIVING NETWORK นวัตกรรมเน็ตเวิร์คมีชีวิตทั้งโครงข่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม เพื่อการใช้งานที่ดีกว่าของลูกค้าในทุกมิติ”

โดยบริการ LIVING NETWORK ถูกพัฒนาขึ้นจากการเข้าใจถึงความต้องการใช้งานเครือข่ายของลูกค้าในแต่ละกลุ่มและแต่ละช่วงเวลา โดยสำหรับลูกค้าที่ใช้มือถือ 5G สามารถเข้าแอปพลิเคชัน myAIS เลือกเมนู myNetwork เลือกฟังก์ชัน 5G Mode ที่ลูกค้าสามารถปรับโหมดการใช้งานและเลือกใช้แพ็กเกจได้ตามไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น BOOST Mode ที่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความเร็วแรงของ 5G อาทิ ดูหนังด้วยความคมชัดสูง หรือแม้แต่การใช้งานอยู่ในพื้นที่ที่มีความหนาแน่น, GAME Mode ที่เหมาะกับการเล่นเกมบนมือถือที่ต้องการความเสถียรของเครือข่าย และ LIVE Mode ที่ช่วยให้การถ่ายทอดสด ไลฟ์ขายของออนไลน์ รีวิว หรือโชว์ความสามารถในด้านต่างๆ เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด

รวมถึงความอัจฉริยะบนโครงข่ายเน็ตบ้านอย่าง Fibre Mode ที่ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยน Mode การใช้งานเน็ตบ้านได้ตามความต้องการ ทั้ง Toggle Speed ที่ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนความเร็ว ดาวน์โหลด/อัปโหลดของอินเทอร์เน็ตบ้านได้เอง และ Speed Boost ลูกค้าสามารถปรับเพิ่มความเร็วเน็ตบ้านให้แรง ด้วยแพ็กเกจเสริมแบบ On Demand

นอกจากนี้ยังมี Interactive Map หรือ แผนที่อัจฉริยะ ที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพการให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตบนมือถือ (Network Status) แบบเรียลไทม์ พร้อมความสามารถในการแจ้งเตือนกรณีที่ลูกค้าพบข้อจำกัดในการใช้งาน พร้อมคำแนะนำเพื่อให้ลูกค้าใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายมือถือ รวมถึงเน็ตบ้านให้สามารถแก้ไข แจ้ง และติดตามปัญหาได้อย่างสะดวกสบายผ่านระบบตรวจสอบปัญหาอัจฉริยะ Fix and Track Cases

นายศรัณย์ เสริมต่อไปอีกว่า “นอกเหนือจากนวัตกรรมบนโครงข่ายทั้งมือถือและเน็ตบ้านที่เรามุ่งยกระดับการใช้งานแล้ว วันนี้เรายังทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกเพื่อส่งมอบประสบการณ์โครงข่ายไปถึงมือลูกค้า อย่างการนำเสนอสุดยอดเกมมิ่งโฟนที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้บนโครงข่าย 5G ไม่ว่าจะเป็น ROG Phone 8 Series และ RedMagic 9 Pro พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์ในงาน ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2024 ที่บูธ AIS ที่เดียวนั้น”

  • ROG Phone 8 Series มิติใหม่ของการเล่นเกมบนสมาร์ทโฟน พลังประมวลผลจาก Snapdragon® 8 Gen 3 พร้อมด้วยการออกแบบระบบระบายความร้อนที่ปรับปรุงใหม่ให้ดียิ่งขึ้นอีก และยังให้คุณรับชมภาพสวยสด จากหน้าจอ Samsung E6 AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว และเทคโนโลยี LTPO กับความสว่างสูงสุดที 2500 nits
  • RedMagic 9 Pro สมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นใหม่ล่าสุด RedMagic 9 Pro แรงจัดด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3, ระบบระบายความร้อนใหม่, RAM สูงสุด 16GB และชาร์จไวสุด 80W ตอบโจทย์ทุกองศาการเล่นเกม (เตรียมจำหน่ายเร็วๆนี้)

และสำหรับงานมหกรรมมือถือ Thailand Mobile Expo 2024 ปีนี้ AIS พร้อมพาร์ทเนอร์ ได้ขนทัพความพิเศษเตรียมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทย ทั้งนวัตกรรมเน็ตบ้านด้วยเทคโนโลยีการเดินสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใสภายในบ้าน อย่าง Home FibreLAN ที่พร้อมให้พร้อมบริการแล้ว 77 จังหวัดทั่วประเทศ สุดยอดสมาร์ทโฟน เบอร์สวย เบอร์มงคล พร้อมโปรโมชั่นและส่วนลดแบบจุกๆ สูงสุดถึง 80% ระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยบูธ AIS จะอยู่บริเวณประตูทางเข้าประตู 1 ฮอลล์ 5

เมืองไทยประกันชีวิตจัดงาน “MTL Bancassurance Kick Off 2024”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นประธานจัดงาน “MTL Bancassurance Kick Off 2024” ภายใต้ธีม The Glory of Fighter ท้าทายทุกขีดจำกัดด้วยใจ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย แก่ผู้บริหารและฝ่ายขายช่องทางธนาคาร หรือ Bancassurance (แบงก์แอสชัวรันส์) ทั่วประเทศ

การจัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อปลุกพลังและสร้างความเชื่อมั่น ในการก้าวข้ามทุกขีดจำกัด สู่เส้นชัยของเป้าหมายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน  พร้อมมอบนโยบายแนวทางการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ  ในปี 2567  โดยมีนายเคียม เคียว โฮ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นายเกศพงษ์ นาทะสิริ  รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและฝ่ายขายช่องทาง Bancassurance เข้าร่วมงาน  ณ  โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว

AIS PLAY พร้อมยิงสดระเบิดความมันส์ ไทยลีก เลก 2 โค้งสุดท้าย

สุดคุ้มกับแพ็ก SEASON PASS เพียง 199 บาท รับชมจัดเต็มทั้งซีซั่น

เดินทางมาถึง เลก 2 กับ ฟุตบอลอาชีพลีกสูงสุดของไทย รีโว ไทยลีก ฤดูกาล 2023/24 งานนี้ AIS ยังคงเป็นช่องทางหลักในการรับชมตอกย้ำตัวจริงการเป็นแพลตฟอร์ม ศูนย์กลางการรับชมกีฬาและฟุตบอลไทยให้แฟนบอลได้รับชมและติดขอบจอกันแบบเชียร์แบบจุใจทั้งการชมสด ดูพร้อมไฮไลท์ และ รีรัน ได้อย่างจุใจ ผ่านทุกช่องทางบน AIS PLAY คุ้มสุดกว่าใคร รับชมไทยลีก เลก 2 แบบจัดเต็ม ร่วมลุ้นทีมในดวงใจคว้าแชมป์ไทยลีก กับแพ็กเกจใหม่เพียง 199 บาท สมัครง่ายๆ แค่กด *677*3# โทรออก เปิดสนามพร้อมกัน 9 กุมภาพันธ์นี้

พิเศษสำหรับลูกค้ามือถือ และเน็ตบ้าน AIS Fibre 3 สามารถติดตามรับชมถ่ายทอดสดไทยลีกได้แบบจัดเต็ม ครบทุกแมตช์ พร้อมไฮไลท์ และ รีรันตลอดฤดูกาลทาง AIS PLAY กับแพ็กเกจบอลไทย

  • แพ็กเกจ SEASON PASS ในราคาเพียง 199 บาท ตลอดฤดูกาล สมัครง่ายๆ แค่กด 6773# โทรออก
  • แพ็กเกจรายเดือนในราคา 59 บาท ต่อเดือน สมัครโดย กด *677#โทรออก
  • ลูกค้า AIS Fibre 3 สมัครได้ที่ www.ais.th/ballthai

สามารถรับชมไทยลีก เลก 2 ผ่าน AIS PLAY ได้ในทุกช่องทาง ทั้ง AIS PLAY, AIS PLAYBOX, เว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th/portal, Apple TV, Samsung Smart TV

5 เรื่องต้องรู้…ก่อนปั้น “แบรนด์” ให้ปัง

เกร็ดน่ารู้จากโครงการอบรม “ตอกเสาเข็มเพื่อ SME”

การพัฒนา SME อาจไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ก็มีปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของเอสเอ็มอีที่น่าสนใจที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาของผู้ประกอบการรายย่อยได้ เคล็ดลับหนึ่งที่สอดแทรกอยู่ในงานอบรมโครงการ “ตอกเสาเข็มเพื่อ SME” ปี 2567 ที่ทางศูนย์เซเว่น อีเลฟเว่น สนับสนุนเอสเอ็มอี ภายใต้การบริหารของซีพี ออลล์ หยิบยกขึ้นมาคือ “การสร้างแบรนด์” ได้จุดประกายให้เกิดคำถามต่อเนื่องที่เชื่อมโยงสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างมีนัยยะสำคัญ

ผศ.ดร.วราภรณ์ คล้ายประยงค์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ SME หนึ่งในวิทยากร ได้ขยายความเรื่องของ “การสร้างแบรนด์” สิ่งที่ SME ควรรู้ก่อนที่จะปั้นแบรนด์ให้ปัง เพื่อพิชิตใจผู้บริโภคอย่างน่าสนใจ โดยกล่าวว่า ในปัจจุบันมีการแบ่งแยกประเภทลูกค้าตามพฤติกรรมของลูกค้า แทนแบ่งแยกตามอายุ (Generation) เนื่องจาก Digital เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิต และภาพเหล่านี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นหลังเหตุการณ์โควิด 19 โดยมีวางกรอบกลุ่มผู้บริโภคใหม่ดังนี้ กลุ่มที่น่าจับตามองคือกลุ่ม Generation C (Connected Generation) ซึ่งมีประมาณ 75% ของประชากรวัยทำงาน ต่างกับ Generation X, Y และ Z ในอดีต ตรงที่อายุไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ

Gen C กลุ่มนี้จึงไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอายุ แต่มุ่งเน้นไปที่ทัศนคติและกรอบความคิดในการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับไลฟ์สไตล์ จากข้อมูล Parachute Digital. 2024 พบว่า กลุ่ม Gen C ส่วนใหญ่จะเสพข้อมูลผ่านเว็บไซต์โซเซียลมีเดีย โดย 42% ใช้แท็บเล็ตขณะดูทีวี และ 64% ของเวลาบนมือถือถูกใช้ไปกับ Application ต่างๆ เรียกว่า กลุ่ม Gen C มีความกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เพียงแต่บริโภคเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังสร้าง content ขึ้นมาด้วย

จากการวิจัยของ Think with Google พบว่า 90 % ของผู้บริโภค Gen C สร้างเนื้อหาบนโลกออนไลน์อย่างน้อยเดือนละครั้ง การแบ่งปันชีวิตกับโลกดิจิทัลผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter และ Instagram ความคิดสร้างสรรค์และกรอบความคิดดิจิทัลคือสิ่งที่ทำให้คน Gen C แตกต่างจากคนรุ่นอื่นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเหล่านี้คือคนที่กิน นอน และหายใจผ่านสื่อดิจิทัล (ข้อมูลจาก : Appleton. 2024) ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อกลุ่ม Gen C มีขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่จะทำอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ หนึ่งในวิธีที่เห็นผลและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนก็คือ “การสร้างแบรนด์” โดยการสร้างแบรนด์ในสมัยนี้ง่ายและสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก แบรนด์ที่ดีต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง

1.ทัศนคติในเชิงบวกกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง : การมองโลกในแง่ดีและสนับสนุนผู้บริโภคด้วยการสร้างมูลค่าเชิงบวกกับการขายที่ลำบากจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความมั่นใจและสร้างความสัมพันธ์ในแบรนด์ เช่น ผู้ประกอบการจำหน่ายพลาสเตอร์ปิดแผล ซึ่งจะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อเกิดบาดแผล หากผู้ประกอบการมีการนำข้อความดีๆหรือออกแบบลายที่ดูสดใส ก็จะช่วยสร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ดีได้

2.มีความเป็นมิตร : ผู้บริโภคกำลังมองหาความไว้วางใจและมูลค่าในการซื้อสินค้า ที่มากกว่ามูลค่าทางตัวเงิน ผ่านการให้ความใส่ใจผู้บริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริการด้วยใจ ดังนั้นเรื่องของคุณภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกจึงยังคงสำคัญ แม้ว่าจะมีความอ่อนไหวต่อราคาเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่คนไม่สามารถออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าได้ ผู้ประกอบการก็มีบริการจัดส่งแบบเดลิเวอรี่ หรือมีการสอบถามเพื่อแสดงความห่วงใย

3.ผสานเทคโนโลยีทั้งในการทำงานและชีวิตประจำวัน : เมื่อกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่ในตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านช่องทางนี้ ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เลือกทำตลาด และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง เหมาะกับผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่ให้ได้ทำตลาดและสร้าง แบรนด์ โดยผู้ประกอบการจะต้องศึกษารูปแบบและวิธีการขายในแต่ละแพลตฟอร์มให้ดี เพื่อสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

4.ให้ความสำคัญกับงานและชีวิต : การที่กลุ่ม Gen C เข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลขององค์กร ดังนั้น หากแบรนด์มีการสร้างการตระหนักรู้ถึงความใส่ใจขององค์กรที่มีต่อพนักงาน ก็จะยิ่งทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น เพราะความสุขของพนักงานที่มีต่อการทำงานจะสะท้อนออกมาผ่านตัวสินค้าและบริการนั่นเอง

5.ให้ความสำคัญกับสังคม : ผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และต้องการเห็นธุรกิจดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ กลุ่ม Gen C มักจะค้นหาข้อมูลของผู้ประกอบการและที่มาของสินค้าว่า สร้างผลกระทบในเชิงลบต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมหรือไม่ รวมถึงมีการทำกิจกรรมหรือโครงการดีๆ เพื่อตอบแทนสังคมหรือรักษาสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างมาก

หากดำเนินการสร้างแบรนด์ครบทั้ง 5 เรื่องแล้ว ลำดับถัดไปคือการเลือกช่องทางในการสร้างแบรนด์ ผู้ประกอบการควรเลือกจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีการการันตีคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันมีช่องทางออนไลน์ที่เป็นสื่อกลางในการขายสินค้าจำนวนมาก หากผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางขายออนไลน์ของตัวเอง ก็สามารถการันตีสินค้าได้เช่นกัน และต้องมีการสื่อสารกับลูกค้าอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความพึงพอใจ