ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 29 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,329.76 จุด ลดลง 0.58 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 48,903.24 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 642.56 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 92.75 บาท บวก 1.75 บาท ,AOT ปิด 59.25 บาท บวก 0.25 บาท, PTT ปิด 37.25 บาท บวก 0.25 บาท ,CPALL ปิด 67.75 บาท บวก 0.25 บาทและ GPSC ปิด 74 บาท ลบ 0.75 บาท
หุ้นไทยลดลงเล็กน้อย มีปัจจัยกดดันจากกระแสเงินทุนไหลออกและกังวลการแพร่ระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19
บทวิเคราะห์ บล. เอเซีย พลัส ระบุว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ควรลงทุนหุ้นปลอดภัย ซึ่งคือหุ้นปันผล ซึ่งสถิติเชิงปริมาณเพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนหุ้นปันผลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า หากซื้อหุ้นปันผลก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ประมาณ 2 เดือน และขายทำกำไรในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD มีโอกาสให้ผลตอบแทน 3-4% และมีโอกาสที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่า 80%
โดยเลือกหุ้นกลุ่มที่มีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ทั้งปีมากกว่า 4% ขึ้นไป ซึ่งสามารถคาดหวังผลตอบแทน 2 ต่อ ทั้งราคาหุ้นและเงินปันผล
ส่วน บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยสถิติผลตอบแทนของหุ้นในดัชนี SET 100 ช่วงที่มีการจ่ายเงินปันผล ตั้งแต่ปี 51 ช่วงก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ประมาณ 1 เดือน หุ้นจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.45% โดยการลงทุนในช่วงนี้มี 2 ลักษณะ คือ
ซื้อเพื่อการเก็งกำไร ให้เลือกหุ้นที่มี Dividend Yield สูง แนวโน้มให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลทั้งปีมากกว่า 3-4%
ส่วนหากจะซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาว ต้องเลือกหุ้นที่มีราคาไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มเติบโต ขณะที่ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำ
ขณะที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เผยว่า หุ้นปันผลจะได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากเม็ดเงินกลุ่มกองทุนหุ้นปันผล (High Yield Fund) ที่ต้องปรับลดน้ำหนักการลงทุนจากหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ หลัง ธปท. ได้ออกคำสั่งให้แบงก์พาณิชย์งดปันผลระหว่างกาล คาดว่าเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวจะย้ายไปเข้าหุ้นปันผลสูงในกลุ่มอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับกลุ่มธนาคาร
ทั้งนี้ ปกติแบงก์ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล คือ BAY, BBL, KBANK, KKP และ SCB ซึ่งคาดว่าเงินปันผลระหว่างกาล ที่จะหายไปมีมูลค่ารวมกันราว 1.43 หมื่นล้านบาท
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ