ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 6 ก.ค.63 ปิดที่ 1,373.22 จุด เพิ่มขึ้น 0.95 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 81,868.19 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,387.92 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 69 บาท บวก 1.25 บาท, PTT ปิด 40.25 บาท บวก 1 บาท, EA ปิด 48 บาท บวก 4.25 บาท, STA ปิด 30.25 บาท ลบ 0.50 บาท และ SUPER ปิด 0.98 บาท ลบ 0.06 บาท
หุ้นไทยดีขึ้นเล็กน้อยตามหุ้นต่างประเทศ หลังข้อมูลเศรษฐกิจโลกออกมาดีกว่าคาด แต่ยังโดนกดดันด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19ในต่างประเทศ
มีมุมมอง จาก “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล ในงานเปิดตัวกองทุนใหม่ พรินซิเพิล โกลบอล เอ็ดดูเคชั่น เทค ที่มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเหลือปีนี้ ว่า มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมองเป้าหมายสูงสุดไว้ที่ 1,500 จุดหรือมากกว่าขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและท่องเที่ยวและไม่เกิดโควิด-19 รอบ 2
ทั้งนี้ มองว่าหากเปิดประเทศให้ต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวได้ช้า และโควิด-19 ระบาดรอบ 2 ที่จะทำให้ไทยเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง รวมถึงตัวเลขการจ้างงานหากยังน่ากังวล และราคาน้ำมันลงแรง ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสลงมาแนวรับที่ 1,200 จุด แต่การปรับลงไม่รุนแรง
เหมือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีนักลงทุนรอซื้อหุ้นในราคาถูก “ตลาดยังผันผวนได้อีก เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยว กว่าจะกลับมาเท่าเดิมเหมือนก่อนโควิด คงใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี หากภาครัฐจัดโปรแกรมต่างชาติเที่ยวแบบ Travel Bubble สำเร็จไม่เห็นโควิดรอบ 2 ทุกอย่างคลี่คลาย คงเห็นหุ้นไทยขึ้นไปได้ที่ 1,500 จุดหรือมากกว่า ถ้าสถานการณ์กลับกันจะเห็นแนวรับที่ 1,200 จุด”
สำหรับหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุนได้แก่ หุ้น Defensive หรือหุ้นปันผลดี เช่น โรงไฟฟ้า ประปา สาธารณูปโภคต่างๆ และกลุ่มที่มีความผันผวนน้อยจากผลกระทบโควิด-19 เช่น กลุ่มโรงพยาบาล อาหาร ค้าปลีก แต่ให้ชะลอการลงทุนกลุ่มแบงก์พาณิชย์โดยให้ติดตามหนี้ NPL ประกอบกัน รวมถึงหุ้นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว
นอกจากนี้แนะลงทุนกอง REIT ประเภทโลจิสติกส์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ออฟฟิศและโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากการปันผล 4–6% รายได้จากการเช่ายังเหมือนเดิมไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด–19!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ