วันที่ 28 พ.ค.63 ปิดที่ 1,337.51 จุด ลบ 7.60 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 85,822.70 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 763.13 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 23.40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BBL ปิด 109.50 บาท บวก 7 บาท, KBANK ปิด 96 บาท บวก 5.50 บาท, PTT ปิด 35.50 บาท ลบ 1 บาท, AOT ปิด 61.25 บาท ลบ 0.25 บาท
ตลาดหุ้นไทยพลิกกลับปรับตัวลงในช่วงท้ายตลาด หลังช่วงเช้าวิ่งทะลุแนวต้าน 1,355 จุด ขึ้นไปได้ จึงโดนแรงขายทำกำไรออกมา ท่ามกลางความกดดันจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า ดัชนีตลาดบริเวณบวก/ลบ 1,350 จุด เริ่มมี Upside ที่จำกัด ขณะที่ Swing Factor คือปัจจัยการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยให้ติดตามท่าทีของสหรัฐฯ ว่าจะออกมาตรการโต้ตอบจีนหรือไม่ หลังจีนผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของฮ่องกงแล้ว
ดังนั้น ภาพโดยรวมหยวนต้า ยังคงมุมมองการลงทุน โดยให้กระชับพอร์ต เข้าสู่โหมดลงทุนหุ้น Defensive มากขึ้น ได้แก่ ADVANC, INTUCH, DTAC, CPALL, DIF, TISCO, RATCH, CPF
ขณะที่คาดทิศทางตลาดวันสุดท้ายของสัปดาห์ จะมีความผันผวนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงท้ายตลาด เนื่องจากจะมีการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI ส่งผลให้เกิดความผันผวนจากเม็ดเงินต่างชาติ ทั้งหุ้นที่ถูกเพิ่มเข้าและถอดออกจากดัชนี รวมทั้งหุ้นที่ถูกปรับเพิ่มหรือลดน้ำหนัก ดังนั้น การเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว หากมีความผันผวนกว่าปกติ สาเหตุน่าจะเกิดจากการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI
หยวนต้า ยังมองตลาดในภาพรวมว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาถึง 38% นับจากจุดต่ำสุดที่ 969.08 จุด เมื่อวันที่ 13 มี.ค.63 ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนกว่า ถือว่าฟื้นตัวค่อนข้างมากและรวดเร็ว เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลักๆในหลายประเทศ ดังนั้นการขยับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยจากนี้ไป จะไม่รวดเร็วและร้อนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา เพราะตลาดหุ้นไทยสะท้อนความคาดหวังต่อการฟื้นตัวในอนาคตพอสมควรแล้ว
หุ้นกลุ่มที่เป็นผู้นำตลาดน่าจะเป็นกลุ่มการเงิน–ลีสซิ่ง และโรงไฟฟ้า เพราะได้รับผลกระทบจำกัดจากโควิด–19 และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ ส่วนกลุ่มที่จะเป็นตัวแปรกำหนดทิศทางตลาด
ภาพรวมคือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งมีน้ำหนักตลาด!!
ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ