เงาหุ้น : จ้องหุ้นจิ๋วแต่แจ๋วใน MAI

457

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 ก.ค.63 ปิดที่ 1,357.04 จุด ลดลง 19.96 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 63,863.05 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,108.40 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 25 บาท ลบ 3.25 บาท, BBL ปิด 102.50 บาท ลบ 6 บาท, CPF ปิด 34.25 บาท ลบ 0.25 บาท, PTT ปิด 39.50 บาท ลบ 0.75 บาท และ PTL ปิด 22.40 บาท ลบ 0.60 บาท

หุ้นไทยปรับตัวลงแรง ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะที่มีข่าวคาดการณ์ว่าประเทศไทยอาจถูกขึ้นบัญชี Watchlist จากสหรัฐฯ กรณีแทรกแซงค่าเงินบาท

ท่ามกลางตลาดหุ้นที่ผันผวน บล.หยวนต้าเผย 6 เหตุผลที่จะทำให้หุ้นในตลาด mai จะ Outperform กว่าหุ้นใน SET โดยระบุว่า นับตั้งแต่ มี.ค.63 ที่เป็นจุดต่ำสุดของตลาดในช่วงโควิด-19 ได้เห็นพัฒนาการเชิงบวกในดัชนีตลาด mai 6 ด้าน ทำให้คาดหวังได้ว่า mai มีโอกาสเติบโตสูงกว่าดัชนี SET ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า

จากการพิจารณาปริมาณเงินในระบบ เทียบมาร์เก็ตแคปของ SET และ mai พบว่า สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงปี 55 ที่เป็นจุดเริ่มต้นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ของ mai ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กยังมีความน่าสนใจ

และถ้าอิงปริมาณเงินในระบบปัจจุบันที่ 22.5 ล้านล้านบาท และค่าเฉลี่ยของ 10 ปีย้อนหลังของอัตราส่วน ปริมาณเงินในระบบต่อมาร์เก็ตของ mai ที่ 90 เท่า คาดว่ามาร์เก็ตแคปของ mai จะปรับขึ้นได้อีก 15-20% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ ได้คัดเลือกหุ้นใน mai จากแนวโน้มผลประกอบการที่โตต่อเนื่องและมูลค่าที่ยังไม่แพง โดยกำไร Q1/63 ต้องมากกว่า 25% ของกำไรทั้งปี 62 และแนวโน้ม Q2/63 ยังมีการเติบโตเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ

โดยแนะ “ซื้อ” หุ้น STI ให้ราคาเหมาะสม 10–11 บาท, TACC ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 7.20 บาท, ARROW ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 10 บาท, JKN ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 6.90 บาท, SELIC ให้ราคาเหมาะสมปี 64 เท่ากับ 3 บาท ขณะที่แนะ “เก็งกำไร” หุ้น AMA และ 2S!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ