Home Blog Page 43

เงาหุ้น : หุ้นโรงไฟฟ้า

บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ระบุว่า กฟผ. เตรียมเจรจาผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP ขอลดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าลง และขอเลื่อนการ COD โรงไฟฟ้า SPP ที่จะเข้าสู่ระบบปี 2563 พร้อมสั่งให้ PTT หาโอกาสซื้อ LNG มากขึ้นในช่วงราคาถูก และซื้อก๊าซฯอ่าวไทยลดลง โดยคาดว่าจะเห็นตัวเลขมากขึ้นสัปดาห์หน้า

ถือเป็น sentiment เชิงลบต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มี SPP ที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิง (ปกติ 60–75% ของ MW จะขายให้กับ EGAT ส่วน MW ที่เหลือขายให้ลูกค้าอุตฯ) ซึ่งได้แก่ GPSC, BGRIM, GULF

เอเซียพลัสได้สอบถามผู้บริหารหุ้นในกลุ่มหลายรายพบว่า

ปกติสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของ SPP ที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงให้กับ EGAT จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80% ของปริมาณที่ผลิตได้ในปีนั้น

ประเด็นดังกล่าวยังอยู่ระหว่างเจรจาถึงแนวทางที่จะเกิดขึ้น เช่น หากปี 63 มีการเจรจาขอลดการรับซื้อในช่วงที่ความต้องการไฟฟ้าลดลงจากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งทำให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศขึ้นมาอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจริง EGAT อาจรับซื้อไฟฟ้าเพื่อชดเชยรายได้กลับมาให้ได้ตามสัญญาในภายหลัง เป็นต้น

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าด้วยราคาหุ้นในกลุ่ม แต่ละตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 15-30% ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือน

ทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับฐานจึงแนะนำหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในหุ้น GPSC (FV@B91), BGRIM (FV@B51), GULF (FV@B32.40), EGCO (FV@B360), RATCH (FV@B75) และ BPP (FV@B16)

เอเซียพลัสยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CK คาด 1Q63 กำไรสุทธิ 7.9 ล้านบาท ลดลง 98%YoY กดดันจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM และ CKP ที่ลดลงมาก ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีรายได้ลดลงตามมูลค่า Backlog ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 ปี

โดยการรับงานใหม่ที่ขาดช่วง ทำให้ภาพกำไรระยะสั้นยังไม่เด่นจากฐานรายได้ธุรกิจก่อสร้างที่ทรงตัวในระดับต่ำ

คาดหวังงานประมูลกลับมาช่วงครึ่งปีหลัง ช่วยหนุน Backlog ให้เติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกและสายสีม่วงใต้ ส่วนอีก 2 โครงการใหญ่ที่ CK มีโอกาสเข้าไปรับงาน ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเขื่อนหลวงพระบาง

แนะนำซื้อ โดยหาจังหวะลงทุนหลังประกาศงบ 1Q63 ที่คาดว่า ราคาหุ้นจะมีปฏิกิริยาเชิงลบต่อผลประกอบการ ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน ที่ 24 บาท!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บีทีเอสจับมือกทม. ร่วมจัดระเบียบผู้โดยสาร หนุนเหลื่อมเวลาทำงานรัฐ-เอกชน ช่วยลดความแออัดการเดินทางช่วงโควิด-19

รถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมกับ เจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร อำนวยความสะดวก และจัดระเบียบ ผู้ใช้บริการในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า – เย็น เพื่อปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างในการเดินทาง​ (Social Distancing) พร้อมขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ เผื่อเวลาในการเดินทางให้มากขึ้น และสนับสนุนแนวคิดให้ภาครัฐ และเอกชนขยับหรือเหลื่อมเวลาในการทำงาน เพื่อกระจายการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ ลดความเสี่ยง และความแออัดในการเดินทางของประชาชน ขณะที่บีทีเอสยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่นฆ่าเชื้อเพื่อสกัดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา​2019​ (โควิด-19)​

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด​ (มหาชน) เปิดเผยว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส ยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ ในการฉีดพ่น และเช็ดทำความสะอาด ภายในขบวนรถไฟฟ้า และจุดสัมผัสร่วม ภายในสถานี และบริเวณรอบสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ​ อย่างเต็มที่

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส

นอกจากนี้ เพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) บีทีเอสได้นำรถไฟฟ้าทุกขบวนที่มีอยู่ทั้งหมด 98 ขบวน ขบวนละ 4 ตู้ รวมทั้งหมด 392 ตู้ ออกให้บริการเพื่อรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเร่งด่วนที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ทำให้การรักษาระยะห่างระหว่างกันไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างเคร่งครัด แต่สำหรับการเดินทางที่ไม่ใช่ในช่วงเวลาเร่งด่วน ผู้โดยสารยังคงสามารถรักษาระยะห่างในการเดินทางได้ในระดับปกติ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม เป็นต้นไป

รถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร โดย พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. จัดส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจเข้ามาทำงาน ร่วมกับเจ้าหน้าที่บีทีเอส เพื่อช่วยจัดระเบียบ และอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการใน 17​ สถานีหลัก​ ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ในช่วงเวลาเร่งด่วนช่วงเช้าและเย็นใ ห้สามารถรักษาระยะห่าง และไม่เข้ามากระจุกตัวภายในขบวนรถ,​ บริเวณชั้นชานชาลา และพื้นที่บริเวณชั้นจำหน่ายตั๋วมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้มีผู้โดยสารตกค้างอยู่บริเวณพื้นที่รอบนอกสถานีมากขึ้น

“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือผู้ใช้บริการให้เผื่อเวลาในการเดินทางให้มากขึ้น เพราะจำเป็นต้องใช้เวลามากขึ้น ในการจัดระเบียบการเข้าใช้บริการ นอกจากนี้แม้บีทีเอสจะนำขบวนรถที่มีอยู่ออกวิ่งให้บริการทั้งหมด แต่การจัดที่นั่งให้มีระยะห่างภายในขบวน หากปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจะทำให้ความจุผู้โดยสารแต่ละขบวนลดลงเหลือเพียง 1​ ใน​ 4 ของจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้ในภาวะปกติเท่านั้น”

บีทีเอส สนับสนุนแนวคิดที่ให้มีการบริหารจัดการเวลาการทำงานใหม่ โดยขยับหรือเหลื่อมเวลาในการทำงานของราชการ และบริษัทเอกชน โดยให้เข้าทำงานหรือเลิกงานได้เร็วขึ้นหรือช้าลงกว่าในภาวะปกติ รวมทั้งแนะนำให้ขยับวันหยุดงานเป็นวันศุกร์ หรือวันอื่นๆ​ด้วยเพื่อกระจายการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อลดความเสี่ยง และความแออัดในการเดินทางของประชาชน ในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค บีทีเอสยังมีข้อแนะนำสำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้า โดยก่อนเข้าระบบรถไฟฟ้าให้ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่บีทีเอสเตรียมไว้ให้บริเวณโต๊ะตรวจการหน้าทางเข้า – ออกทุกสถานี และต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้ง รวมทั้งในระหว่างเดินทางหรืออยู่ในขบวนรถ พยายามหลีกเลี่ยงการนำมือขึ้นมาจับใบหน้า โดยเฉพาะ จมูก ปากและตา โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ที่มีจำนวนผู้โดยสารหนาแน่น แนะนำให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยกันภายในขบวนรถ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค และก่อนออกจากระบบรถไฟฟ้าอย่าลืมกดล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่มีจัดไว้ให้ทุกสถานี ทุกครั้ง

สำหรับผู้ที่รู้สึกไม่สบายหรือมีไข้ขอความร่วมมืองดใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะผู้โดยสารที่มีอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียส รถไฟฟ้าบีทีเอสขอสงวนสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้เข้าระบบรถไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทาง

ทั้งนี้ รถไฟฟ้าบีทีเอส ยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่น และเช็ดทำความสะอาดภายในขบวนรถไฟฟ้า และจุดสัมผัสสาธารณะภายในสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า2019​ (โควิด-19) อย่างต่อเนื่อง

ซีพีเอฟ ส่งกำลังใจบุคคลากรทางแพทย์ มอบอาหารปลอดภัยให้รพ. 183 แห่งทั่วไทย

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัย เพื่อดูแลสุขภาพของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลของรัฐที่ทำการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ตามโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัย โควิด-19” ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดส่งอาหารให้กับโรงพยาบาลในต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น 183 แห่งทั่วประเทศ

ล่าสุด ผลิตภัณฑ์อาหารส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว 15 แห่ง ตามภูมิภาคต่างๆ ดังนี้

  • ภาคกลาง
    • รพ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
    • รพ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
    • รพ.ประชาธิปัตย์ จ.ปทุมธานี
    • รพ.เสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สระบุรี
    • รพ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
  • ภาคตะวันออก
    • รพ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
    • รพ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว
    • รพ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา
    • รพ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
  • ภาคตะวันตก
    • รพ.พหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • รพ.50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จ.อุบลราชธานี
    • รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี
    • รพ.นาด้วง จ.เลย
  • ภาคใต้
    • รพ.ควนเนียง จ.สงขลา
    • รพ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช

โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัย โควิด-19” ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของรัฐ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในความเสียสละ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ต่อสู้กับวิกฤติในครั้งนี้ โดยได้จัดเตรียมอาหารที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้คุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มีกำลังกายและกำลังใจ โดยเริ่มจากในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และขยายผลต่อเนื่องไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารจะถูกจัดส่งไปยังโรงพยาบาลผ่านร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท ที่มีสาขาอยู่ในทั่วทุกภูมิภาคของไทย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายการสนับสนุนอาหารให้ครอบคลุมไปยังครอบครัวของแพทย์ และพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 30,000 ครอบครัว ในโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวหมอ-พยาบาล” เพื่อให้ทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ไร้กังวล โดยจะจัดส่งอาหารให้ถึงบ้าน ให้คนในครอบครัวของแพทย์และพยาบาลได้รับประทานอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการ (โครงการฯเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2563 และอยู่ในระหว่างดำเนินการจัดส่งอาหารอย่างต่อเนื่อง) ซีพีเอฟ ยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างคนไทยก้าวฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน./

หั่นค่าธรรมเนียมประกันภัยทุกประเภท 50%

บอร์ด คปภ. ไฟเขียว เยียวยาธุรกิจประกันภัย ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เห็นชอบให้หั่นค่าธรรมเนียมประกันภัยทุกประเภทลง 50% ประชาชน บริษัทประกันภัย ตัวแทน-นายหน้าประกันภัย กว่าหกแสนราย ได้อานิสงค์ทั่วหน้า

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ที่มีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ ได้พิจารณากรณีที่สภาธุรกิจประกันภัยไทย มีหนังสือขอให้ลดผลกระทบและแบ่งเบาภาระของภาคธุรกิจประกันภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยขอความอนุเคราะห์ในการพิจารณาผ่อนผันปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมหรือปรับลดอัตราเงินสมทบที่นำส่งสำนักงาน คปภ.

ที่ประชุม เห็นว่า หากเปรียบเทียบกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาวิธีการอื่นแล้ว การปรับลดค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันวินาศภัย จะเป็นประโยชน์มากกว่าและไม่กระทบต่อสภาพคล่องของสำนักงาน คปภ. เนื่องจากเป็นมาตรการช่วยเหลือที่จะเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง คือนอกจากจะเกิดประโยชน์ต่อบริษัทประกันภัยแล้ว ประชาชนที่ประสงค์จะเข้าสู่อาชีพประกันภัย ตัวแทนประกันชีวิต ตัวแทนประกันวินาศภัย นายหน้าประกันชีวิต นายหน้าประกันวินาศภัย และนักคณิตศาสตร์ประกันภัย จะได้ประโยชน์ด้วย ดังนั้นที่ประชุม จึงมีมติ ดังนี้

1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน คปภ. เสนอ ในการให้ปรับลดค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจประกันวินาศภัย ลงครึ่งหนึ่งทุกรายการ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ได้แก่ ค่าธรรมเนียมสมัครสอบความรู้เพื่อขอรับใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมในการขอรับใบอนุญาตของตัวแทนนายหน้าประกันภัย การขอต่ออายุใบอนุญาตของตัวแทนนายหน้าประกันภัย การขอรับใบอนุญาตเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย การขอใบแทนใบอนุญาต การขอรับรองสำเนาเอกสาร เป็นต้น

2. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจประกันชีวิตในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ. ….

3. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจประกันวินาศภัยในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ. ….

ที่ประชุม มอบหมายให้ สำนักงาน คปภ. ติดตามผลกระทบของภาคธุรกิจประกันภัยอย่างใกล้ชิด โดยให้มีการจัดทำการทดสอบภาวะวิกฤติเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ หากผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ภาคธุรกิจประกันภัยมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ก็ให้รีบเสนอให้พิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่จำเป็นเพิ่มเติมต่อไป

เงาหุ้น : มุมมองทรีนีตี้

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 5 พ.ค.63 ปิดที่ 1,278.63 จุด ลดลง 23.03 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 51,384.94 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,604.90 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 35 บาท ลบ 0.50, BAM ปิด 23.30 บาท ลบ 0.70 บาท, CPALL ปิด 69.75 บาท ลบ 1.25 บาท, PTTEP ปิด 84 บาท ลบ 0.50 บาท และ AOT ปิด 60.50 บาท ลบ 1.75 บาท

หุ้นไทยปรับตัวลง กังวลข่าวประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ขู่เก็บภาษีจีนรอบใหม่

กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่สถานการณ์ COVID-19 ในไทยดีขึ้น พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงมาต่อเนื่อง

“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มองตลาดหุ้นเดือน พ.ค.63 มีโอกาสย่อตัว หลังดัชนีปรับขึ้นมา ซื้อขายที่ระดับ forward P/E ที่ 17.6 เท่าแล้ว ซึ่งสูงกว่าระดับของปีที่แล้วทั้งปี!!

ดังนั้น ในแง่ของ Valuation หุ้นไทยถือว่าแพงมาก สถานการณ์นี้จึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้นมากกว่า ให้กรอบดัชนีมีแนวรับ 2 ระดับ คือที่ 1,200 จุด และ 1,150 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,350 จุด

ส่วนการลงทุนระยะกลางและยาวให้รอเข้าซื้อช่วงปลาย มิ.ย. หรือพ้นไตรมาส 2 ไปแล้ว

เพราะประเมินว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานแรงได้อีกครั้ง หลังสิ้นสุดมาตรการกำหนดขายชอร์ตได้เฉพาะในราคาที่

สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายหรือ “Uptick rule”

เพราะมาตรการนี้มีผลกระทบแรงมาก ทำให้มูลค่าการขายชอร์ตลดลงมาเหลือ 1,000 ล้านบาทต่อวันจากเดิม 5,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกรรมบล็อกเทรดก็ลดปริมาณสัญญาต่อวันจาก 3.5 แสนสัญญาเหลือ 1 แสนสัญญาต่อวัน ดังนั้นตั้งแต่กลาง มี.ค.เป็นต้นมา จึงแทบไม่เห็นดัชนีหุ้นลงแรงระดับ 50-100 จุดต่อวันเหมือนช่วงก่อนหน้า

แนะกลยุทธ์ลงทุนเดือน พ.ค.ให้ 3 ธีม คือ 1.กลุ่มโรงกลั่น มองผลประกอบการทำจุดต่ำสุดช่วงไตรมาสแรกของปีไปแล้ว และมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาน้ำมันมากขึ้นหลังปัญหา Technical issue ต่างๆในตลาดน้ำมันเริ่มลดลง แนะหุ้น TOP–SPRC–BCP!!

2.กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ราคาหุ้นได้สะท้อนผลดำเนินงานไตรมาส 1 ไปเกือบหมดแล้ว แนะหุ้น BBL เพราะมีโอกาสลุ้นถูกนำกลับเข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI ที่จะประกาศช่วง 12 พ.ค.นี้ 3.กลุ่มหุ้นที่ทรีนีตี้คำนวณว่ามีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าสู่การคำนวณดัชนี SET 50 ในรอบถัดไป ได้แก่ TTW-BPP!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โลกหลังวิกฤติ Covid-19 (ตอนที่2)

โลกหลังวิกฤติ Covid-19 ในบทความที่แล้วนั้น ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐานในชีวิตและสังคมของมนุษย์ ที่จะเปลี่ยนแปลงไป 8 ประการ ซึ่งนอกเหนือจาก 8 ประการที่กล่าวถึงไปนั้น ยังมีอีกหลายมุมมองที่น่าสนใจ จากบรรดากูรูในวิชาชีพต่างๆ ว่าพวกเขามองโลก (ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของพวกเขา) หลังวิกฤติ Covid-19 จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จึงนำมาสรุปให้เห็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจได้ดังนี้

1) ลักษณะการอยู่อาศัยของผู้คนจาก “เมืองหลัก” ไปสู่ “เมืองรอง”

บทความ “Cities after Coronavirus ; how covid-19 could radically after urban life.” ของ Jack Shenker (The Guardian, 26 มีนาคม 2563) อธิบายไว้ว่า “เมือง” เป็นพัฒนาการที่มนุษย์สร้างขึ้น เนื่องจากต้องอยู่ร่วมกัน อยู่ใกล้ชิดกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เมืองใหญ่ทุกวันนี้โตขึ้นมาก เพราะมีคนอพยพโยกย้ายเข้าสู่เมืองมากขึ้น แต่เหตุการณ์ Covid-19 ทำให้คนต้องอยู่ห่างๆ กัน ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ผู้คนอาจตัดสินใจย้ายไปสู่ “เมืองรอง” ซึ่งเล็กกว่ามากขึ้น เพื่อลดความแออัด และการทำงานที่บ้าน (Work From Home) แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันก็ยังทำได้เนื่องจากมีเทคโนโลยีช่วยได้ มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดหมู่บ้านใหม่ๆ ขึ้นในเมืองรอง เกิดการยกระดับเส้นทางคมนาคมขนส่งขึ้นมาใหม่ในเมืองรอง ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของเส้นทางคมนาคมเดิมไปอย่างสิ้นเชิง

2) ลักษณะการออกแบบสถานที่ทำงานเพื่อรองรับ “Social Distancing”

บทความ “10 ways covid-19 could change office design.” ของ Harry Kretchmer (www.weforum.org, 20 เมษายน 2563) สรุปไว้ว่า เมื่อคนต้องกลับมาทำงานหลังการระบาดรุนแรงผ่านไป ความหวาดกลัวการแพร่เชื้อระหว่างกัน การต้องรักษาระยะห่างทางสังคมในที่ทำงาน จะมีความต้องการออกแบบที่ทำงาน ที่นั่งของพนักงานลักษณะใหม่ เช่น ในรูปแบบที่เรียกว่า “Six Feet Office” คือออกแบบให้ที่นั่งห่างกันประมาณ 6 ฟุต (หรือประมาณ 1.82 เมตร) ที่ต่อไปหลายๆ องค์กรอาจออกมาเป็นข้อกำหนดในการปรับปรุงพื้นที่สำนักงาน นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้ปูกระดาษบนพื้นโต๊ะทำงาน พอสิ้นวันก็ดึงออกไปทิ้งเพื่อลดการแพร่เชื้อ หรือรูปแบบการออกแบบที่ทำงานก่อนเกิด Covid-19 มีความนิยมแบบเปิดโล่งมากขึ้นก็จะหันมาปรับให้มีลักษณะปิดเพื่อป้องกันมากขึ้น (Closed – plan working) มีการเสนอให้ภายในที่ทำงานต้องเพิ่มสัญลักษณ์ (More signs) เพื่อเตือนและบอกการรักษาระยะห่างมากขึ้น รวมทั้งการมีป้ายกำหนดทิศทางเพื่อลดการเดินแบบสับสน ทำให้เกิดการชนและแพร่เชื้อได้ เป็นการออกแบบที่เรียกว่า “Contactless Pathways” ซึ่งต้องจัดให้มีเทคโนโลยีที่สนับสนุน อุปกรณ์ที่มีส่วนช่วยป้องกัน อากาศถ่ายเท และวิธีการทักทายแบบใหม่ ๆ เป็นต้น

3) ลักษณะการซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายของชำในยุค “Social Distancing”

บทความของ Katie Jackson ที่ลงใน www.today.com เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 เรื่อง “8 ways coronavirus may change how we shop at the grocery store forever.” สรุปประเด็นสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันในยุค “Social Distancing” จะเปลี่ยนไปจากเดิมดังนี้

  • ลูกค้าจะมีจำนวนครั้งมาที่ร้านน้อยลง (Shoppers will make fewer trips to the store) เพราะคนยังหวาดกลัวกับการแพร่ระบาดของเชื้อ จะลดจำนวนครั้งที่มาเท่าที่จำเป็น ซึ่งต่างจากเดิมแวะมาเมื่อใดก็ได้
  • ลูกค้าจะซื้อของทีละมากๆ เพื่อเก็บไว้ในตู้เย็นและครัวมากกว่าเดิม (People will stock up) เมื่อมาที่ร้านในจำนวนน้อยลง คนก็จะซื้อพวกอาหารและสินค้าจำเป็นคราวละมากๆ โดยอาจจะเก็บไว้ 1 – 2 สัปดาห์ก่อนจะออกมาเติมอีกครั้ง
  • ลูกค้าจะซื้ออย่างมีเหตุผลและมีแผนการมากขึ้น (Goodbye browsing, hello planning) ที่ผ่านมาการเดินในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีของมากมายก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง สามารถใช้เวลาค่อยๆ คิดได้ อาจเจอสินค้าบางอย่างที่ไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะซื้อ แต่พบการส่งเสริมการตลาดที่เย้ายวนใจก็เกิดการซื้อเพิ่มได้ แต่ยุคที่ต้องรักษาระยะห่าง ลูกค้าจะเริ่มวางแผนมากขึ้น มี Checklist ที่ทำให้พุ่งตรงไปยังชั้นที่ขายของนั้นโดยตรง
  • ลูกค้าจะใช้บริการส่งของถึงบ้านมากขึ้น (Curbside pick up and online ordering will be big) ลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากจะยอมปรับพฤติกรรมสั่งของชำทาง online และให้มาส่งถึงบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการออกนอกบ้าน ทำให้ซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ หันมาพัฒนาและปรับปรุงบริการนี้
  • ลูกค้าต้องการใช้บริการจุดชำระเงินและนำของกลับด้วยตนเองมากขึ้น และไม่สนใจจุดทดลองสินค้า (So long to samples and self-serve stations) เพื่อลดโอกาสสัมผัสเชื้อจากจุดที่มีการให้ทดลองสินค้า หรือจุดชำระเงิน
  • ลูกค้าจะนิยมสินค้าที่คงความสดไว้ได้นาน (Long lasting produce will be popular) ความต้องการสินค้า เช่น ผลไม้ประเภทเก็บรักษาไว้ได้นานจะมีมากขึ้น เพราะดีต่อสุขภาพและสอดคล้องกับเวลาที่ไม่ต้องออกมาชอปปิงบ่อยๆ
  • ลูกค้าจะซื้อสินค้าประเภทอาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋องมากขึ้น (Frozen foods and canned foods will be favored) ซึ่งสัมพันธ์กับระยะเวลาที่อยู่บ้านนานขึ้น ประกอบกับสินค้าเหล่านี้ค่อนข้างมีน้ำหนัก จึงต้องการซื้อในปริมาณมากๆ เพื่อเก็บไว้
  • ลูกค้าจะหันมานิยมไปร้านค้าขนาดเล็กมากขึ้น (Smaller stores are making comeback) ร้านค้าของชำขนาดเล็กใกล้บ้านจะกลับมาเป็นที่นิยม เพราะถูกคาดหมายว่าผู้คนจะไม่เข้าไปแออัดและรอคิวการซื้อของ การชำระเงินเหมือนร้านใหญ่

ไม่น่าเชื่อว่าไวรัสตัวเล็กๆ นี้จะสามารถบังคับและเปลี่ยนชีวิตในอนาคตของมนุษยชาติได้มากขนาดนี้ ซึ่งยังเป็นที่น่าสนใจมากว่า ยังมีมุมมองอะไรและอย่างไรอีกที่ไวรัส Covid-19 นี้จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิต ธุรกิจ และสังคมของพวกเรา ซึ่งสามารถติดตามได้ในบทความห้องเรียนผู้ประกอบการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Credit : The Guardian, weforum.org , today.com

สรุปโดย : ดร.กฤษฎา  เสกตระกูล, CFPรองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย#ห้องเรียนผู้ประกอบการ

ธปท. เปิดช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” สะพานเชื่อมปรับโครงสร้างหนี้

รายงานข่าวจากศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ ศคง. ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 19 (COVID-19) ส่งผลให้รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจปรับลดลงอย่างมาก ในภาวะเช่นนี้การที่ผู้ให้บริการทางการเงิน (ผู้ให้บริการ) และลูกค้าสามารถตกลงร่วมกันปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงเปิดช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” ขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ประชาชนหรือธุรกิจที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สามารถแจ้งความต้องการไปที่ผู้ให้บริการฯ โดยเป็นช่องทางเสริมในช่วงที่มาตรการเว้นระยะเพื่อลดการแพร่เชื้อ (Social distancing) อาจทำให้ติดต่อหรือเดินทางไม่สะดวก ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้รับผ่านช่องทางนี้ ธปท. จะส่งต่อไปยังผู้ให้บริการฯ ที่ระบุไว้ พิจารณาให้ความช่วยเหลือตามมาตรการที่ได้ประกาศแล้วทั่วไป หรือตามดุลพินิจของผู้ให้บริการ

กสิกรออกสินเชื่อ 0% ช่วยคนงานเอสเอ็มอี วงเงิน 1,000 ล. กับเบี้ยเลี้ยงพิเศษให้บุคคลากรทางแพทย์อีก 300 ล.

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดตั้งโครงการ สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี เป็นเงินกู้สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กเพื่อให้สามารถจ้างพนักงานต่อไปได้ อัตราดอกเบี้ย 0%

สิ่งสำคัญของโครงการนี้ คือ การเข้าไปช่วยเหลือพนักงานให้ยังมีงานทำและมีเงินเดือนเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว โดยพนักงานแต่ละคนจะได้เงินคนละ 8,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ธนาคารได้เตรียมวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการนี้ไว้ 1,000ล้านบาท และทำให้เกิดการจ้างงานพนักงานกว่า 41,000 คน

“ธนาคารยอมสูญเสียรายได้เพื่อให้คนในสังคมส่วนหนึ่งอยู่รอด เพราะการที่ทุกคนจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คนที่มีต้องช่วยคนที่ไม่มี ถ้าทุกคนช่วยกันประเทศไทยก็จะสามารถฝ่าฟันและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน”

โครงการ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” เป็นการเชิญลูกค้าเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีการใช้บริการกับธนาคารมานานหลายปีเข้าร่วมโครงการเท่านั้น ซึ่งเจ้าของธุรกิจต้องเป็นคนดี เป็นนักสู้ที่พยายามต่อสู้เพื่อนำพาธุรกิจและพนักงานรอดไปด้วยกัน การช่วยเหลือภายใต้โครงการนี้ ธนาคารจะช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงานทุกคนให้บางส่วน ธุรกิจต้องดำเนินต่อไปได้ และสามารถดูแลค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในส่วนอื่น ๆ ได้เอง โดยไม่หยุดหรือปิดกิจการ ธนาคารสนับสนุนเงินกู้เพื่อจ้างพนักงาน อัตราดอกเบี้ย 0% ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท ไม่ต้องมีหลักประกัน ระยะเวลากู้ 10 ปี และไม่ต้องผ่อนชำระคืนเงินกู้ 1 ปี เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็กมีเงินทุนในการจ้างพนักงานให้พวกเขามีรายได้และอยู่รอด โดยวงเงินกู้ของแต่ละบริษัทนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนพนักงาน พนักงานแต่ละคนจะได้เงินคนละ 8,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ธนาคารจะมีกระบวนการตรวจสอบได้ว่าเงินได้เข้าบัญชีพนักงานทุกคนจริง

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโครงการ “เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์” ที่มูลนิธิกสิกรไทยร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด รวบรวมรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าข่ายตามเกณฑ์จำนวน 45 แห่ง ใน 5จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงแล้วยังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แก่ จังหวัด สงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และสตูล มีบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 5,083 คน ทั้งหมดเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานตั้งแต่มีการแพร่ระบาด และมีหน้าที่ในงานที่ได้สัมผัสเชื้อและดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขจนถึงวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยมูลนิธิกสิกรไทย ได้มอบเงินสนับสนุนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักรบเสื้อกาวน์รวม 20,000 คน คนละ 4,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค.-ก.ค. 63 รวมงบประมาณทั้งสิ้น 300 ล้านบาท 

เงินเฟ้อเม.ย. ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เหตุราคาน้ำมันดิ่งเหว

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนเม.ย.63 อยู่ที่ 99.75 ลดลง 2.03% จากเดือนมี.ค. และหากเทียบกับเดือนเม.ย. ปี 62 ปรับลดลง 2.99% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ดัชนีราคาลดลงสูงถึง 30.85% ต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน รวมทั้ง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ที่ลดลงจากมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ของรัฐบาล

พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

อีกทั้ง การปรับลดราคาสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพบางรายการ จากมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ที่ร่วมมือกับผู้ผลิต ห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้ภาพรวม เงินเฟ้อลดลงมาก

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเงินเฟ้อต้องติดลบต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป และราคาสินค้าและบริการ ต้องลดลงติดต่อกัน ถึงจะเป็นภาวะเงินฝืด แต่ขณะนี้ เงินเฟ้อไทยลดลง เกิดจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นสำคัญ เพราะทำให้ต้นทุนการผลิต และการขนส่งสินค้าลดลงมาก ส่วนราคาสินค้าและบริการ ยังไม่ลดลงมาก โดยอาหารสดยังราคาเคลื่อนไหวปกติ มีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาลดลงบ้าง แต่ลดลงจากมาตรการขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ลดราคาขายเพื่อช่วยเหลือประชาชน

หากถามว่ามีโอกาสเกิดภาวะเงินฝืดหรือไม่ ก็มีสิทธิ์ หากราคาน้ำมันยังลดลงมาก หรือยังขึ้นได้ไม่เท่ากับราคาของปีก่อน จึงต้องหาทางหลีกเลี่ยง และนโยบายของรัฐบาล จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนมาก เช่น การผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ให้กลับมาทำธุรกิจ หรือทำมาค้าขายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนได้ และต้องเร่งส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวไทย กินของไทย ใช้ของไทย

แนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนพ.ค.63 ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากราคาน้ำมัน ที่การบริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ และราคายังไม่ปรับขึ้นมาเท่ากับราคาในปีก่อน และราคาสินค้าเกษตร ที่อาจลดลง เนื่องจากความต้องการซื้อลดลง คาดว่าในไตรมาสที่ 2 จะยังติดลบ 2.28% ส่วนไตรมาสที่ 3 และ 4 น่าจะดีขึ้น และเงินเฟ้อทั้งปีจะอยู่ที่ลบ 1.0% ถึงลบ 0.2% มีค่ากลางอยู่ที่ 0.6%

ซีพีเอฟ ได้เหรียญทองเอเชีย รางวัลรายงานความยั่งยืนปี 62

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัลรายงานความยั่งยืนระดับเหรียญทอง 2 รางวัล ด้านการรายงานความโปรงใสในห่วงโซ่อุปทานและด้านผลกระทบต่อชุมชนและการช่วยเหลือสังคม และรางวัลเหรียญเงิน การรายงานเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดผลกระทบ ตอกย้ำความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่บริษัทส่งรายงานความยั่งยืนเข้าชิงรางวัล และ ถือเป็นเกียรติกับบริษัทอย่างมากที่ได้รับรางวัลนี้

ที่่ผ่านมา ซีพีเอฟมุ่งมั่นผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดภัย และมีคุณภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ขณะเดียวยังทำงานร่วมกับคู่ค้าธุรกิจและชุมชนในการขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

“ซีพีเอฟ ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่องควบคู่กับคู่ค้าธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตนและดินน้ำป่า คงอยู่ ตลอดจนต้องการนำเสนอผลการปฏิบัติงานของพนักงานทุกคนในรายงานความยั่งยืนอย่างเหมาะสม โปรงใส ด้วยความรับผิดชอบ” ทั้งนี้ ความสำเร็จด้านความยั่งยืนของบริษัท สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) 11 เป้าหมาย จากทั้งหมด 17 เป้าหมาย

รายงานความยั่งยืนปี 2562 ของ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัล 3 รางวัล ได้แก่

  • Gold class (ที่ 1) ประเภท Asia’s Best Supply Chain Reporting ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับการรายงานและสื่อสารด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างโปร่งใสและรายงานการดำเนินงานเพื่อลดความเสี่ยงภายในห่วงโซอุปทานอย่างดีเยี่ยม
  • Gold class (ที่ 1) ประเภท Asia’s Best Community Reporting ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับการรายงานและสื่อสารด้านการดำเนินงานกับชุมชน สามารถรายงานผลกระทบต่อชุมชนและผลจากการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างดีเยี่ยม
  • รางวัล Silver class (ที่ 2) ประเภท Asia’s Best Environmental Reporting เป็นรางวัลสำหรับการรายงานและสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อมที่มีเป้าหมายและผลการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมถึงสามารถรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทในประเด็นที่สำคัญได้อย่างดี

ซีพีเอฟ เป็น 1 ใน 461 ฉบับ รายงานความยั่งยืนจาก 16 ประเทศในเอเซีย ที่มีการส่งเข้าประกวดผลงาน และ ASRA ได้คัดเลือกผู้เข้ารอบเหลือ 80 บริษัท จาก 13 ประเทศ เพื่อเข้ารับรางวัลใน 19 สาขา ในปีนี้มีเหตุการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้มีการเลื่อนการประกาศผลออกมาในรูปแบบของการถ่ายทอดสดแบบ Live Broadcasting จากประเทศสิงคโปร์ ในงาน มีนักธุรกิจชั้นนำกว่า 200 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจาก 15 ประเทศ ร่วมในรับชมการถ่ายทอดครั้งนี้