Home Blog Page 36

เอไอเอส ยืนยัน ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้าอย่างดี ไม่มีการรั่วไหล

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าสายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการรายงานข่าวในต่างประเทศเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลลูกค้าเอไอเอส นั้น บริษัทขอชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า แต่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานอินเตอร์เน็ตในภาพรวมบางส่วน และไม่ใช่ข้อมูลที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายด้านการเงินหรือด้านอื่นๆ  

กรณีดังกล่าว เกิดจากการทดสอบเพื่อปรับปรุงคุณภาพเครือข่ายที่มีขึ้นในเดือนพฤษภาคม และภารกิจดังกล่าวได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีลูกค้ารายใดได้รับผลกระทบทั้งด้านการเงินและด้านอื่นๆอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ เอไอเอสให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ที่ผ่านมา ได้มีการปฏิบัติตามและทบทวนขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานระดับสากล อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ต้องขออภัยที่อาจทำให้ลูกค้าเป็นกังวลใจจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  ซึ่งขณะนี้เอไอเอสได้แก้ไขปรับปรุงขั้นตอนการใช้ข้อมูลเพื่อทดสอบบริการเรียบร้อยแล้ว โดยท้ายที่สุดนี้ ขอให้ลูกค้าและประชาชนโปรดมั่นใจและเชื่อมั่นในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่บริษัทฯดำเนินการมาโดยตลอด

ซีพีเอฟ จัดโปรฯ เมนูข้าวกล่อง 20 บาท อิ่มแถมปลอดภัยจากโควิด-19

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ได้คัดเลือกข้าวกล่องที่ผลิตจากโรงงานที่ได้การรับรองมาตรฐานโลก จากวัตถุดิบคุณภาพดี จำนวน 6 เมนู คือ ข้าวอกไก่ซอสจิ้มแจ่ว ข้าวอกไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวไก่สไปซี่ ข้าวผัดไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวตับกระเทียม และข้าวไข่เจียว ซึ่งเป็นการผลิตขึ้นเป็นพิเศษเพื่อช่วยเหลือคนไทยในช่วงที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และจำหน่ายในร้านซีพีเฟรชมาร์ท 150 สาขาทั่วกรุงเทพมหานครและภาคกลาง

“บริษัทฯ คัดเลือกข้าวกล่องเป็นเมนูอาหารคุณภาพมาตรฐานส่งออกที่บริษัทผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ มีคุณค่าทางโภชนาการ อร่อยและปลอดภัย 1 ล้านกล่อง ในราคาพิเศษสุด 20 บาท ที่อุ่นร้อนและทานได้ทันที เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และคืนสิ่งดีๆให้กับสังคมร่วมสู้วิกฤติโควิดไปด้วยกัน”

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมเมื่อซื้อครบ 5 กล่อง ในราคา 95 บาท เมื่อจ่ายเงินด้วย TrueWallet เพื่อเพิ่มความปลอดภัยลดสัมผัสจากการจ่ายเงินสด

ซีพีเอฟ ยังนำข้าวกล่องเมนูดังกล่าวไปแจกฟรีให้กับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครทุกวันอังคาร พฤหัสบดีและเสาร์ โดยอุ่นร้อนในรถ CPF Food Truck ให้คนไทยได้บริโภคอาหารสุก อร่อยและปลอดภัย

สินค้าข้าวกล่องทั้ง 6 เมนู ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จากการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคทั้งคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอต่อการความต้องการในแต่ละมื้อ ทั้งยังเป็นทางเลือกของลูกค้าในการซื้อในจำนวนมากเพื่อนำไปแบ่งปันให้กับสังคม โดย ซีพี เฟรชมาร์ท มีบริการรับสั่งออนไลน์และจัดส่งให้ตามจุดที่ต้องการ และได้คัดเลือกสินค้าเป็นพิเศษโดยเน้นอาหารที่เป็น” ครัวของบ้าน” และสินค้ารายการอื่นๆ นำมาลดราคาพิเศษ เพื่อจำหน่ายในร้าน 350 สาขาทั่วประเทศ

ซีพีเอฟ ดำเนินการส่งมอบอาหารคุณภาพดีและปลอดภัยอย่างต่อเนื่องภายใต้ “โครงการซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจร่วมต้านภัยโควิด19” ให้กับโรงพยาบาลของรัฐแล้ว 200 แห่ง ตลอดจนผู้เฝ้าระวังที่กลับจากประเทศเสี่ยงอีก 20,000 คน และยังคงเดินหน้า “โครงการซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลรัฐ ครอบครัวแพทย์-พยาบาล” ซึ่งกำลังทยอยส่งมอบอาหารในขณะนี้จำนวน 20,000 คน รวมถึงโครงการคูปองจากใจ..ให้ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) จำนวน 1 ล้านใบ สามารถใช้ส่วนลดในคูปองได้ที่ร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท

“ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจตามปรัชญา 3 ประโยชน์ คือประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนและบริษัทเป็นอันดับสุดท้าย วันนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤต เราต้องเสริมพลังให้ประเทศแข็งแกร่งมากขึ้น ให้ทุกคนร่วมฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน ”

ซีพีเอฟ สยายปีกลุยธุรกิจสุกร ในอเมริกาเหนือ ผ่านบริษัทร่วมทุน Hylife

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท Hylife ซึ่งเป็นการร่วมทุนของซีพีเอฟ และ ITOCHU Corporation โดยจัดตั้งอยู่ที่ประเทศแคนาดา ได้ประกาศการลงทุนธุรกิจสุกร เสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจสุกรในอเมริกาเหนือ ด้วยการเข้าซื้อทรัพย์สินของกลุ่มบริษัท ProVista “ProVista” ในประเทศแคนาดาและเข้าลงทุน 75% ในหุ้นของ Prime Pork, LLC “Prime Pork” ในประเทศสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท ProVista เป็นผู้ดำเนินกิจการฟาร์มสุกรแบบอิสระรายใหญ่ที่สุดของประเทศแคนาดา ตั้งอยู่ในเมืองเมนิโทบา การลงทุนครั้งนี้ จะได้แม่พันธุ์สุกร 37,000 ตัว โดย ProVista มีกำลังการผลิตสุกรประมาณ 1 ล้านตัวต่อปี

ส่วน Prime Pork เป็นผู้ผลิต แปรรูปสุกร และจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสุกรในรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในการแปรรูปสุกรประมาณ 1.2 ล้านตัวต่อปี ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตในการแปรรูปสุกรให้แก่ HyLife เป็นประมาณ 3.2 ล้านตัวต่อปี

นาย Grant Lazaruk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HyLife กล่าวว่า HyLife ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับ ProVista และ Prime Pork ทั้งนี้ การซื้อ ProVista จะช่วยให้ HyLife มีความมั่นคงในการจัดหาสุกรภายใต้โครงสร้างปัจจุบัน ส่วนการซื้อ Prime Pork จะช่วยขยายฐานการผลิตของ HyLife ไปยังสหรัฐอเมริกา โรงงานทั้งในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานของ HyLife และความหลากหลายในการดำเนินงานเพื่อให้บริการลูกค้าทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เนื่องจากที่ตั้งของฟาร์ม ProVista ตั้งอยู่ใกล้กับฟาร์มของ HyLife ซึ่งความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์นั้นทำให้ทั้ง 2 บริษัทมีค่านิยมในการทำงานที่คล้ายคลึงกันซึ่งจะทำให้การทำงานของทั้งสองบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ในเรื่องของพนักงาน HyLife ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับพนักงานที่มีประสบการณ์ในธุรกิจสุกรจากทั้ง 2 บริษัท โดย HyLife ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานและชุมชนเป็นอย่างมากและมีความตั้งใจที่จะคงทำกิจกรรมที่ Prime Pork และ ProVista ทำให้กับชุมชนและพื้นที่โดยรอบต่อไป

วิรไท ไม่ลงสมัครผู้ว่าแบงก์ชาติอีกสมัย ขอเวลากลับไปดูแลครอบครัว

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ตามที่นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 นั้น

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร เปิดเผยว่า นายวิรไท สันติประภพ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ครบวาระแรกในวันที่ 30 กันยายน 2563 ขอเรียนว่าไม่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคัดเลือกสำหรับการดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 ด้วยเหตุผลด้านครอบครัว

ทั้งนี้ นายวิรไทจะดูแลให้การส่งมอบงานเป็นไปอย่างราบรื่น ก่อนที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่จะเริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

CPF Food Truck มอบอาหารปลอดภัยจากใจ สู่ชุมชน

ช่วงโควิด-19 เราได้เห็นถึงน้ำใจมากมายจากหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือนร้อน ทั้งมอบอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล และอาหาร การมอบอาหารมีให้เห็นหลายรูปแบบทั้งเดินแจกตามบ้าน ตั้งเป็นเต๊นท์ตามชุมชน รวมถึงแพ็คใส่กล่อง

ล่าสุดกับโครงการ “อาหารปลอดภัย จากใจ…สู่ชุมชน” เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นำรถ Food Truck ซีพี เฟรชมาร์ท แจกอาหารให้ชาวชุมชนต่างๆ ใน 6 เขตของกรุงเทพฯ ได้แก่ เขตบางกอกน้อย บางพลัด บางขุนเทียน บางบอน ห้วยขวาง และหนองแขม

รถ CPF Food Truck คันนี้ เดิมทีได้นำไปออกบูธโชว์สินค้าตามงานต่างๆ แต่หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ซีพีเอฟนำรถคันดังกล่าวมาดัดแปลงใช้ประโยชน์อีกครั้ง โดยนำมาทาสี ตกแต่งให้เข้ากับการใช้งานใหม่ เพื่อนำมาอำนวยความสะดวกในการอุ่นอาหาร สำหรับแจกให้กับประชาชนในชุมชนต่างๆ ที่มารับอาหารสามารถนำไปรับประทานได้ทันที ทั้งนี้ซีพีเอฟยังให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารปลอดภัย อยากให้ทุกคนได้รับอาหารที่ดี มีประโยชน์ และถูกสุขอนามัย

ภายใน CPF Food Truck ประกอบด้วย ตู้อุ่นร้อนขนาดใหญ่ที่สามารถอุ่นอาหารได้ครั้งละประมาณ 80-100 แพ็ค จุดเด่นที่น่าสนใจอีกหนึ่งอย่าง คือ ความกะทัดรัดของรถคันนี้ทำให้เข้าถึงชุมชนได้ง่าย และสีแดงที่โดดเด่นสะดุดตา กลายเป็นสัญลักษณ์ของรถคันนี้

ด้านความสะอาด พนักงานอุ่นอาหารจะต้องสวมหน้ากากอนามัย และถุงมือ เพื่อให้ผู้ที่มารับอาหารมั่นใจได้ว่าอาหารทุกกล่องสะอาดปลอดภัย ในขณะที่พนักงานจิตอาสาจะต้องสวมหน้ากากอนามัย Face Shild และถุงมือทุกคน นอกจากนี้ยังมีเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ตามจุดต่างๆ ด้วย

การมอบอาหารปลอดภัย โดย CPF Food Truck ให้กับชุมชนครั้งนี้ ได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนทั่วไปตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ บรรยากาศคึกคักมีประชาชนทยอยมาต่อแถวเพื่อรับอาหารอย่างต่อเนื่อง แม้อากาศจะร้อนเพียงใด แต่ทุกคนยังมีรอยยิ้มให้แก่กัน สำหรับการมอบอาหารจัดขึ้นทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ โดยจะสัญจรไปตามชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง

ตกงาน กลับบ้านตจว. ไปทำอะไรดี

ถ้าตัดสินใจ ทิ้งเมือง ทิ้งแหล่งอุตสาหกรรม ทิ้งแหล่งทำงาน

เพื่อกลับไปสร้างความมั่งคั่งใหม่

สร้างความพอเพียงใหม่ ในชนบท หรือถิ่นกำเนิดของเรา

ที่ต้องทำอย่างแรก คือ ศึกษาหาความรู้ ซึ่งมีอยู่เยอะแยะในออนไลน์อย่างช่องยูทูปต่างๆ

และศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่ที่เราจะไปอยู่ใหม่

เรียนรุ้วิธีเก็บน้ำ วิธีบำรุงดิน เรียนรู้วิธีหาพันธุ์พืช

มารับความรู้ แบบฟังง่ายๆ ใน รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์

คุยกับ อายักษ์ กูรูสวนนาป่าน้ำ

ตอน “ตกงาน กลับบ้านต่างจังหวัด ไปทำอะไรดี

เงาหุ้น : กังวลสงครามการค้ารอบใหม่

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 พ.ค.63 ปิดที่ 1,303.97 จุด ลดลง 16.72 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 64,469.56 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,999.74 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 22.70 บาท บวก 1.80 บาท, BAM ปิด 22.90 บาท ลบ 0.50 บาท, PTT ปิด 35.75 บาท ลบ 1.25 บาท, PTTEP ปิด 84.50 บาท ลบ 4.50 บาท และ GULF ปิด 39.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ กลับมากังวลความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่จะนำไปสู่การทำสงครามการค้ารอบใหม่ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมาย Holding Foreign Companies Accountable Act คือบริษัทสัญชาติต่างประเทศ (โดยเฉพาะจีน) ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกถอดออกจากตลาด ร่างกฎหมายนี้ยังมีข้อกำหนดที่เป็นข้อจำกัดอื่นๆของบริษัทสัญชาติต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ต้องผ่านการพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากนั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย

โดยหากเกิดขึ้นจริง เอเซียพลัสประเมินผลกระทบเบื้องต้น ในเชิงลบระยะสั้นระหว่าง Process (ขั้นตอนสภาล่าง-โดนัลทรัมป์) ราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราว 165 บริษัท มีโอกาสถูกแรงกดดัน แต่ในระยะยาวเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนมีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไหลกลับเข้าสู่จีน

ส่วนผลต่อตลาดหุ้นไทยนั้น ประเมินว่าจะถูก Sentiment เชิงลบกดดันตามตลาดหุ้นต่างประเทศ

ขณะที่เอเซียพลัส ยังระบุว่า สิ่งที่ช่วยลดความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมา คือ การที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์เพื่อลดระดับการเก็งกำไรลง ณ วันที่ 18 มี.ค.2563 ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้ 1.Short Sell ได้เฉพาะในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Up Tick) ช่วยพยุงให้ราคาหุ้นปรับฐานไม่เร่งตัวเร็วเท่าอดีต 2.ปรับการหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว (Circuit breaker) เป็น 3 ระดับ 3.ปรับปรุงเกณฑ์ราคาซื้อขายสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละวัน (Floor-Ceiling) เหลือ 15% ซึ่งถือว่าได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ!!

ล่าสุด การที่หลายประเทศเริ่มกลับมาเปิดให้ Short Sell อาจส่งผลให้ภาพรวมตลาดหุ้นโลกผันผวนมากขึ้น แต่หากพิจารณาจาก Valuation หุ้นไทยถือว่าอยู่ในระดับที่แพง ซึ่งมี PER63F อยู่ที่ 20.3 เท่า ทำให้การปรับตัวขึ้นต่อจากนี้อาจทำได้ยากขึ้น กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้จำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น

เน้นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งผันผวนต่ำรวมถึงหุ้นปันผลสูง แนะ 3 หุ้นเด่น TTW, ADVANC และ BDMS!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คีรี และกลุ่มบ.บีทีเอส มอบเงิน 2 ล. ให้รพ.ทันตกรรม ปรับปรุงห้องทันตกรรม ป้องกันโควิด-19

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นาย คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทบีทีเอส พร้อมผู้บริหารของกลุ่มบริษัท นายกวิน กาญจนพาสน์ และนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา มอบเงินจำนวน 2,000,000 บาท ร่วมสนับสนุนปรับปรุงห้องทันตกรรม และอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร เพื่อส่งเสริม และป้องกันให้ประชาชนที่มาใช้บริการปลอดภัยจากโรคโควิด-19 และช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ทันตแพทย์หญิง วรานันท์ บัวจีบ คณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้แทนรับมอบ

ท้ั้งนี้ ทางโรงพยาบาลทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญร่วมบริจาคสมทบทุน เพื่อจัดหาอุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 ในการรักษาทางทันตกรรม ได้ทางช่องทาง ดังนี้

เอไอเอส ยกระดับ Digital Platform สู่การเป็น Everyday Lifestyle App ตัวจริง พร้อมเปิดตัวเต็มรูปแบบไตรมาสสองปีนี้

นางบุษยา สถิรพิพัฒน์กุล Head of Customer & Service Management – AIS เปิดเผยว่า ตลอดช่วง Lockdown 2 เดือนที่ผ่านมา เอไอเอส มีการเตรียมความพร้อมงานบริการลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพและความมืออาชีพของบุคลากรจึงทำให้ดูแลลูกค้าสามารถได้อย่างสมบูรณ์ครบทุกกระบวนการในเวลาอันรวดเร็ว ผสานเข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่พัฒนามาก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง

พบว่า ตัวเลขการใช้บริการช่องทางบน Digital Platform มีจำนวนผู้ใช้งานสูงขึ้นอย่างมาก นับจากวันที่ภาครัฐประกาศ Lockdown ตั้งแต่ 22 มีนาคม 2563 ประกอบด้วย

  • การจ่ายบิลค่าบริการ และการเติมเงิน มีการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นกว่า 200%
  • วันที่ 10 เม.ย. 63 วันแรกของการลงทะเบียนรับสิทธิ์การใช้งานฟรี!ที่เอไอเอส ร่วมกับ ภาครัฐ
    มอบอินเตอร์เน็ตให้ 10 GB  มียอดเข้าใช้งาน my AIS  สูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 1 ล้านรายต่อวัน
  • จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ myAIS  เพิ่มขึ้นถึง 28.5% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย ปี 2562

นอกจากนี้ ปรากฏว่า มีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นสูงถึง 72.4%

           
เอไอเอส พบว่า มีผู้เข้ามาใช้งานบนแอปพลิเคชัน myAIS เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และ ASK Aunjai :  AI อัจฉริยะ เติบโตมากกว่าเท่าตัว และยังคงเป็นช่องทางหลักที่ลูกค้าใช้งานเป็นประจำมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยขีดความสามารถในการรองรับด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เอไอเอสเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเดินหน้าสร้าง Digital Engagement ผ่าน Gamification ตอบโจทย์ Lifestyle แบบ New Normal ยุคโควิด  

ปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดการใช้งานบน myAIS App. เติบโตดังกล่าวมาจาก ความสามารถในการอำนวยความสะดวกลูกค้าได้อย่างไม่แตกต่างจากการใช้บริการผ่าน AIS Shop หรือ AIS Call Center อาทิ ลงทะเบียนซิมการ์ดได้เองทุกที่ ทุกเวลา ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว, การสมัคร ปรับเปลี่ยน และเลือก Promotion รวมถึงแลกรับสิทธิพิเศษ นอกจากนี้ ยังพบว่า ลูกค้านิยมใช้ช่องทางนี้ในการช่วยทำธุรกรรมให้กับหมายเลขโทรศัพท์ของคนในครอบครัวเพิ่มเติมขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วง Lockdown

และบริการ ASK Aunjai : AI ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คอยดูแลให้คำปรึกษากับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ก็มีตัวเลขการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถตอบคำถามลูกค้าได้แม่นยำถึง 83% สูงกว่ามาตรฐาน World Contact Center 2019 ในส่วนของ AI Chatbot ที่วัดค่าความแมนยำ เฉลี่ยอยู่เพียง 75% พร้อมยังได้รับคะแนน AI CSI เพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยล่าสุด ภาพรวมของปี 2563 มีคะแนนเฉลี่ย สูงถึง 92.5% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทั่วโลก อยู่ที่ 62% สะท้อนให้เห็นว่า ลูกค้ามีความเชื่อมั่น รู้สึกใกล้ชิด สบายใจ และกล้าที่จะคุย สอบถาม ให้ ASK Aunjai แนะนำข้อมูลต่างๆ มากยิ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เห็นถึงศักยภาพของพนักงานในการเพิ่มทักษะ และพลิกโฉมการทำงานรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะพนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ที่ปรับเปลี่ยนมาทำงานบนหน้าจอจากที่บ้าน และสามารถให้บริการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ไม่ต่างจากช่วงเวลาปกติ และยังสามารถจัดสรรพนักงานและเวลาทำงานได้อย่างเหมาะสมและเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึง พนักงาน AIS Shop ที่ผันตัวเองมาส่งมอบบริการออนไลน์ผ่านบริการใหม่อย่าง LINE@AISShop สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการทำงานยุค New Normal ที่พร้อมให้บริการได้ในทุกสถานการณ์

นางบุษยา ย้ำว่า COVID-19 ตอกย้ำให้เรามั่นใจว่า การพัฒนาช่องทางการให้บริการลูกค้าบน Digital Platform ที่มุ่งมั่นมาตลอด จากวิสัยทัศน์การเป็น Digital Life Service Provider สามารถตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าที่มีการปรับตัว เปิดรับให้ Digitalization เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ NEW Normal ในการดำเนินชีวิตได้ในทันทีทันใดอย่างไม่มีสะดุด ดังนั้น จากวันนี้ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร การปิดเมือง หรือ เปิดเมือง ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาด จะไม่มีผลกระทบกับการดูแลลูกค้าเอไอเอสผ่าน Digital Platform ที่พร้อมยกระดับสู่ Everyday Lifestyle Application ที่จะมีการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบภายในปลายไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน

เมื่อ บจ. เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

โดย       แมนพงศ์ เสนาณรงค์
รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของหลายอุตสาหกรรม ซึ่งอาจทำให้มีบริษัทจดทะเบียนบางบริษัทจำเป็นต้องตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ

หลายท่านเกิดคำถามว่า เมื่อบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแล้ว ต้องมีหน้าที่อย่างไรในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าบริษัทจดทะเบียนมีหน้าที่ต่อผู้ถือหุ้น โดยจะต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญให้ทราบโดยทั่วถึงกัน ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลงบการเงิน ข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อราคาหุ้น มติที่ประชุมกรรมการบริษัท มติที่ประชุมผู้ถือหุ้น รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ยึดเป็นหลักการสำคัญในการดูแลผู้ลงทุน เพื่อให้มีข้อมูลที่เพียงพอในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน

ดังนั้น เมื่อบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ก็ยังคงมีหน้าที่และแนวทางการปฏิบัติเหมือนบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ คือต้องเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ และที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ อาทิ การยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อศาลพิจารณารับคำร้อง สาระสำคัญของแผนฟื้นฟูกิจการ และเมื่อศาลอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการ เป็นต้น

แล้วจะมีการเตือนผู้ลงทุนหรือไม่? เมื่อใด?

การขึ้นเครื่องหมายบนหลักทรัพย์ เป็นอีกหนึ่งมาตรการในการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนและคุ้มครองผู้ลงทุน โดยการขึ้นเครื่องหมายแต่ละประเภทนั้นมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องหมาย “C” (Caution) ใช้เพื่อเตือนผู้ลงทุนให้เพิ่มความระมัดระวัง และศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ โดยเมื่อศาลรับพิจารณาคำร้องฟื้นฟูกิจการ หรืองบการเงินมีส่วนของทุนต่ำกว่า 50% ของทุนเรียกชำระแล้ว กรณีใดกรณีหนึ่งหรือทั้งสองกรณี ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย “C”  โดยผู้ลงทุนยังคงซื้อขายได้ด้วยบัญชี cash balance (ผู้ลงทุนวางเงินสดล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนซื้อขาย) และบริษัทเองก็มีหน้าที่รายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการต่อผู้ลงทุนทุก ๆ ไตรมาส ส่วนการส่งงบการเงินจะต้องส่งตามกำหนดเวลาปกติเหมือนบริษัทจดทะเบียนทั่วไป

ส่วนเครื่องหมาย “SP” จะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุต่าง ๆ อาทิ บริษัทไม่ส่งงบการเงินตามกำหนดเวลา โดยจะขึ้นเครื่องหมาย “NC” ควบคู่ไปด้วยหากบริษัทเข้าสู่เหตุเพิกถอนจากการที่ส่วนของทุนมีค่าติดลบ ซึ่งจะพิจารณาจากงบการเงินงวดปีเท่านั้น ไม่ได้พิจารณาจากงบการเงินงวดไตรมาส ซึ่งเครื่องหมาย “SP” ดังกล่าวจะมีผลทำให้หุ้นของบริษัทถูกพักการซื้อขาย และจะกลับมาซื้อขายใหม่ก็ต่อเมื่อบริษัทแก้เหตุเพิกถอนตามเกณฑ์และระยะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด

จะเห็นได้ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกลไกและแนวทางเพื่อดูแลผู้ถือหุ้น ครอบคลุมทั้งกรณีปกติและกรณีบริษัทจดทะเบียนที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนเองก็มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาของบริษัท ควบคู่ไปกับการเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ถือหุ้นและ     ผู้ลงทุนรับทราบอย่างเท่าเทียม ที่สำคัญผู้ลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสารของบริษัทที่ท่านลงทุนอย่างสม่ำเสมอจากเว็บไซต์ www.set.or.th และแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ของท่านในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ได้มั่นใจและทันเหตุการณ์