Home Blog Page 25

กรมบัญชีกลางยัน ข้าราชการได้สิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ไม่เปลี่ยนแปลง

นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อความเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ และอ้างถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการว่า “ข่าวใหม่ ที่มนุษย์เงินเดือนภาครัฐ น่าจะรับทราบและเตรียมตัวเตรียมใจรับมือ 1.ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกได้เพียงบางส่วน หรือราว 65 % ที่เหลือต้องชำระเพิ่มเอง หลวงไม่ช่วยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ การใช่จ่ายเท่าที่จำเป็นจริง ๆ (จริง ๆ น่ะ..เพราะเราเริ่มเข้าสู่ยุคเผาจริงแล้ว) เก็บเงินไว้ให้มากที่สุดและนานที่สุด เพื่อไม่ต้องเป็นหนี้โดยใช่เหตุ

วิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง

 2.แนวโน้มยากจะคาดเดา แต่การที่รัฐต้องเจียดงบประมาณและกู้เงินมาช่วยวิกฤตโควิดและฟื้นฟูเศรษฐกิจตามโครงการต่าง ๆ เป็นเงินมหาศาล จนนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นการยากที่กรมสรรพกรจะจัดเก็บรายได้เข้าคลังตามเป้าและจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ได้ 3. เมื่อถึงจุดทางตัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะทุกวันนี้ งบเงินเดือนข้าราชการมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นทุกปี ด้วยเหตุผลนี้ ข้าราชการควรเตรียมตัวรับสภาพ โดยเฉพาะข้าราชการที่มีรายรับจากเงินเดือน เพียงอย่างเดียว” ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก นั้น

ทั้งนี้กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแล เกี่ยวกับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ขอชี้แจงว่า ข้อความข้างต้นไม่เป็นความจริง และขอเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าว

กรมบัญชีกลางยืนยัน สิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม 

หากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ กรมบัญชีกลางจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ ของกรมบัญชีกลางเท่านั้น

เงาหุ้น : หุ้นน้องใหม่ STGT กระฉูด

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ก.ค.63 ปิดที่ 1,374.13 จุด เพิ่มขึ้น 24.69 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 84,485.85 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 613.50 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 60.50 บาท บวก 26.50 บาท, STA ปิด 28 บาท ลบ 1.25 บาท, PTT ปิด 39 บาท บวก 0.50 บาท, SCC ปิด 390 บาท บวก 18.00 บาท และ MINT ปิด 21.30 บาท บวก 1.20 บาท

ราคาหุ้น บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) เปิดและปิดเทรดวันแรกที่ 60.50 บาท เพิ่มขึ้น 26.50 บาท จากราคา IPO ที่ 34 บาท เหนือจอง 77.94% โดยเปิดตลาดที่ 55.25 บาท สูงสุด 60.75 บาท ต่ำสุด 55.25 บาท

มีบทวิเคราะห์น่าสนใจ “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า มองดัชนีหุ้นไทยครึ่งปีแรก ผันผวนแกว่งตัวขึ้นลงมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40%

ขณะที่ประเมินทิศทางตลาดในช่วงครึ่งปีหลังว่า จะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก คือ 1.ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2.ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น

3.ช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่างๆจะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่างๆสิ้นสุดลง และ 4.ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระทบต่ออัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)

นักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทย มองกรอบดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดเป็นระดับดัชนีที่ไม่แพง และเป็นจังหวะน่าทยอยสะสมอีกครั้ง โดยธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนครึ่งปีหลังคือ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี

คือหุ้น BAM, CBG และ CPALL ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC

ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

ก.ล.ต. เสนอร่างปรับปรุงแก้ไขพรบ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ในปี 2564 ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ จากการเพิ่มสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ เป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่แรงงานในระบบส่วนใหญ่ยังมีรายได้หลังเกษียณที่ไม่เพียงพอ การออมเพื่อการเกษียณจึงเป็นวาระแห่งชาติที่มีการบรรจุทั้งในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12     และแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ในปัจจุบัน PVD ซึ่งเป็นแหล่งเงินออมสำคัญรองรับการเกษียณแก่ลูกจ้าง ยังมีสมาชิก     เพียง 3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนลูกจ้างภาคเอกชนในระบบ* และมีจำนวนสมาชิกที่ได้รับเงินหลังเกษียณมากกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำที่พึงมี** เพียงร้อยละ 24 ของจำนวนสมาชิก PVD เท่านั้น”

ก.ล.ต. จึงได้เสนอหลักการการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 เพื่อเพิ่มศักยภาพ PVD ให้รองรับการเกษียณของลูกจ้างและช่วยผลักดันให้แรงงานในระบบมีรายได้หลังเกษียณที่เพียงพอ ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบในการประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. ครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 โดยมีหลักการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้  

  1. สนับสนุนให้นายจ้างที่มี PVD เป็นสวัสดิการอยู่แล้ว จัดให้ลูกจ้างสมัครเป็นสมาชิกได้โดยอัตโนมัติเว้นแต่ลูกจ้างจะปฏิเสธ
  2. ส่งเสริมกลไกที่ช่วยให้สมาชิกมีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม โดยกำหนดให้กองทุนเลือกนโยบายการลงทุนให้แบบอัตโนมัติสำหรับสมาชิกที่ไม่เลือกนโยบายการลงทุนด้วยตนเองที่สอดคล้องกับคุณลักษณะของสมาชิก เช่น อายุ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  3. เพิ่มประสิทธิภาพ PVD เช่น การปรับปรุงกลไกการคุ้มครองสมาชิกให้ได้รับความเป็นธรรม โดยกำหนดคุณสมบัติ บทบาทหน้าที่ ของคณะกรรมการกองทุน การแจ้งให้สมาชิกทราบถึงความเพียงพอของเงินออม โดยการนำเสนอการคาดการณ์เงินออมยามเกษียณ การกำหนดมาตรฐานข้อบังคับและการรับจดทะเบียน PVD เพื่อลดภาระกับภาคเอกชน และการเพิ่มความยืดหยุ่นในการออมให้ลูกจ้าง
  4. การพัฒนา PVD เพื่อรองรับร่าง พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ซึ่งเป็นกองทุนการออมภาคบังคับของแรงงานภาคเอกชนในระบบ

เงาหุ้น : หุ้น STA–STGT

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 ก.ค.63 ปิดที่ 1,349.44 จุด บวก 10.41 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 53,380.74 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,306.40 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 29.25 บาท บวก 2 บาท, PTT ปิด 38.50 บาท บวก 0.75 บาท, BAM ปิด 25.25 บาท บวก 0.95 บาท, KCE ปิด 23.70 บาท บวก 0.90 บาท และ PTTEP ปิด 95.50 บาท บวก 3.75 บาท

ราคาหุ้น บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ดีดขึ้นแรง ท่ามกลางการซื้อขายหนาแน่น รับหุ้นลูกที่จะเข้าเทรดในตลาดหุ้นวันแรกวันที่ 2 ก.ค. บล.หยวนต้าระบุว่า STA ถือหุ้น 56% ใน บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ซึ่งทำธุรกิจถุงมือยางที่ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดโควิด-19 หากอิงราคา IPO ของ STGT ที่ 34 บาท เทียบเท่า NAV ต่อหุ้น STA ที่ 25.11 บาท โดยทุก 5 บาทของ STGT ที่เปลี่ยนแปลงเทียบกับราคา IPO จะส่งผลต่อ NAV ของ STA ราว 2 บาทต่อหุ้น ขณะที่มูลค่าธุรกิจยางธรรมชาติของ STA ประเมินเบื้องต้นอิง PE ที่ 12 เท่า อยู่ที่ 11 บาท

ขณะที่ STGT จะเริ่มซื้อขายใน SET วันที่ 2 ก.ค.ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หลังเสนอขายหุ้นไอพีโอ 438.78 ล้านหุ้น ในราคา 34 บาท/หุ้นกลับมาที่ภาพรวมตลาดหุ้น “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มองตลาดเดือน ก.ค.เป็นลักษณะเทรดดิ้ง คือ เมื่อดัชนีปรับขึ้น นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมา และเมื่อดัชนีปรับตัวลง ก็จะกลับเข้าซื้อ มองระดับแนวต้านสำคัญและเป็นจังหวะในการขายหุ้นออกคือระดับ 1,400 จุด ส่วนแนวรับแรกที่เข้าซื้อจะอยู่ที่ 1,310 จุด

ทั้งนี้ หุ้นไทยยังคงขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อย ที่มีสัดส่วนกว่า 50% ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กหรือ sSET จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น Growth stock มี 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ BGRIM, GPSC, RATCH 2. กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ CPF, TFG, RBF 3.กลุ่มบริหารสินทรัพย์ เลือก JMT

นอกจากนี้ยังแนะหุ้น PTG หลังปลดล็อกเคอร์ฟิวทำให้การเดินทางกลับมาทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึง SFLEX ซึ่งผลิตแพ็กเกจจิ้งที่อิงกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

กระแสตอบรับท่วมท้น สิงห์อาสา จัดเชฟดัง เปิดหลักสูตร “สร้างตัวกับเมนู delivery”

สิงห์อาสา โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี  เดินหน้า โครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” เปิดอบรมหลักสูตรล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ก.ค.63 ที่ศูนย์นวัตกรรมด้านอาหาร Food Innovations Center จ.ปทุมธานี ได้จัดอบรมต่อเนื่องหลักสูตรที่สาม “สร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่” ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” ในกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ได้รับเกียรติจาก 4 เชฟชื่อดัง คือ “เชฟชุมพล แจ้งไพร” เจ้าของรางวัลมิชลิน 2 ดาว จากร้าน R.HAAN “เชฟป้อม” ธนรักษ์ ชูโต เชฟกะทะเหล็กอาหารจีน “เชฟบุ๊ค” บุญสมิทธิ์ พุกกะณะสุต และ “เชฟปิ๊ก” สรมย์เวท ธีระพจน์ ครีเอทีฟเชฟ จากร้าน EST. 33 ร่วมวางหลักสูตร

โดยหลักสูตร “สร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่” จัดให้มีการอบรมทำอาหารในหัวข้อ Authentic Thai Fusion จาก “เชฟปิ๊ก สรมย์เวท ธีระพจน์” ครีเอทีฟเชฟ จากร้าน EST. 33 ดีกรีแชมป์การแข่งขันอาหารระดับนานาชาติ ที่มาเปิดเคล็ดลับการทำอาหารให้อร่อยและน่ารับประทาน ในเมนูอาหารไทยยอดนิยมต่างๆ ต่อด้วยในช่วงบ่ายบรรยายและสาธิตการทำอาหาร จากกูรูอาหารไทยชื่อดัง “เชฟชุมพล แจ้งไพร” เชฟรางวัลมิชลิน 2 ดาว จากร้าน R.HAAN โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมที่มาจากหลากหลายอาชีพ ด้วยความตั้งใจที่จะเรียนรู้เพื่อนำไปต่อยอดอาชีพต่อไป ซึ่งในหลักสูตรนอกจากการให้ความสำคัญกับอาหารแล้ว ยังได้ให้ความรู้ในเรื่องการเพิ่มมูลค่าอาหาร เทคนิคการมัดใจกลุ่มลูกค้าที่นำมาซึ่งลูกค้าประจำของร้าน รวมถึงการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายทางเดลิเวอรี่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจอาหารในปัจจุบันที่ผู้บริโภคนิยมใช้บริการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มากขึ้น หลักสูตร “สร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่” จะจัดอีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค.63

ทั้งนี้ โครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” ในกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ประกอบด้วย 3 หลักสูตร ได้แก่ “10 เมนูยอดนิยม อร่อยง่ายๆ”, “เครื่องดื่มร้อน เย็น เต็มสูตร” และ “สร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่” ซึ่งทั้งสามหลักสูตร จะจัดต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมผู้สนใจสามารถติดตามและสมัครร่วมโครงการได้ที่เฟสบุ๊ค : Singha R-SA สิงห์อาสา จากนั้นจะจัดอบรมในกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่าง และกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านการเกษตร ต่อไป โดยหากนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบต่างๆ เป็นมูลค่าการช่วยเหลือรวมกว่า 200 ล้านบาท

หลังจากที่บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด มีนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19 ด้วยการเร่งจ้างงานและสร้างอาชีพ ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ ทั้งการจ้างงานเร่งด่วนผ่านโครงการสิงห์อาสาใน 3 ภูมิภาค ในการร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตัวเองทั่วประเทศ คือ โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า, โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และ โครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม

ทรีนีตี้ มองเศรษฐกิจไทย 3 ปีฟื้นตัว แนะกลยุทธ์ลงทุน หุ้นขึ้นขาย หุ้นลงซื้อ

ทรีนีตี้” คาดเศรษฐกิจไทยใช้เวลา 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี จึงจะฟื้นตัว กลับมาเติบโตเท่าช่วงก่อน COVID-19 ระบาด ด้านการลงทุนครึ่งปีหลังเกาะติด 7 ปัจจัยเสี่ยง คาดเกิดปลายไตรมาส 3  มองดัชนีไตรมาส 3 ปรับตัว Sideways กรอบกว้าง 1,250-1,450 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์เดือน ก.ค.หุ้นขึ้นขาย หุ้นลงซื้อ เลือกหุ้นเติบโต มีโอกาสได้ผลตอบแทนดี

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ว่า การลงทุนจะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 7 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4  ประกอบด้วย

1) ระดับการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกที่อาจเริ่มชะลอลง หรือที่เรียกว่า Tapering

2) ระดับการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+

3) การระบาดของ COVID-19 รอบสองที่อาจรุนแรงมากขึ้น หลังจากประเทศต่างๆ เริ่มกระบวนการ Reopening และสิ่งที่สำคัญ คือ ถ้ามีการ Lockdown รอบ 2 หลายประเทศอาจจะไม่มีกระสุนที่จะอัดฉีดนโยบายการคลังต่อ

4) ความผันผวนในช่วงเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ                 

5) ผลประกอบการของ บจ.ไตรมาส 3 ที่อาจไม่สามารถฟื้นจากไตรมาส 2 ได้จริง

6) การหมดอายุของมาตรการ Uptick rule ในช่วงปลายเดือนกันยายน

7) คุณภาพสินเชื่อจะมีการถดถอย

            ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 30-50% เป็นผลจากธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อน และมาตรการทางการคลังของประเทศต่างๆ  รวมกว่า 15-16 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงระยะเวลา 3-4 เดือน ตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ขณะที่หุ้นไทยก็ขึ้นมาซื้อขายที่ระดับ PE ที่ 20-21 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แพง ขณะที่เมื่อดูการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของไทยปี 2563 ลงมาสู่ระดับ – 8.1% จาก – 5.3% ซึ่งเป็นการเติบโตต่ำสุดใกล้เคียงกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ในขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจาก -3% มาสู่ระดับ -4.9% และยังยอมรับว่ามีโอกาสปรับลดลงกว่านี้ และมองว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี ในการฟื้นตัวมาเท่ากับสมัยก่อนเกิด COVID-19 เป็นการฟื้นตัวแบบรูปตัวยู

ดร.วิศิษฐ์  คาดการณ์ว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 SET Index แกว่งตัว Sideways และมีกรอบกว้างมาก โดยประเมินกรอบแนวรับแรกของ SET ที่ 1,300 จุด ซึ่งเป็นระดับเทียบเคียง Forward PE             15.7 เท่า และอิงกับประมาณการ EPS ปี 2021 ที่ 83 บาท ส่วนกรอบแนวรับสำคัญประเมินที่ 1,250 จุด   ขณะที่ กรอบแนวต้านแรกของ SET ที่ 1,400 จุด ซึ่งเป็นระดับเทียบเคียง Forward PE 16.8 เท่า และอิงกับประมาณการ EPS ปี 2021 ที่ 83 บาท ส่วนกรอบแนวต้านสำคัญประเมินที่ 1,450 จุด

            สาเหตุสำคัญที่ทำให้ SET จะเคลื่อนไหว Sideways กรอบกว้างในไตรมาส 3 เนื่องจาก Upside ยังคงถูกจำกัดจากประเด็น Valuation เป็นสำคัญ และถึงแม้ว่าสภาพคล่องจะท่วมท้นแต่จะเห็นว่า               Flow เหล่านั้น กลับเลือกที่จะไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ของไทยแทน เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนแท้จริงที่น่าสนใจ โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อตลาดพันธบัตรไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลา 1 เดือน    ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นดอลลาร์แครี่เทรด จึงเป็นเหตุให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้นนักลงทุนต่างประเทศจะสนใจเป็นลำดับท้ายๆ ของเอเชีย เพราะตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มี Valuation สูงสุด ต่างประเทศขายหุ้นไทยกว่า 2 แสนล้าน ตั้งแต่ต้นปี

ขณะที่ Downside ของ SET ยังสามารถถูกประคับประคองได้จากสภาพคล่องภายในที่มาก  และจากการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร หรือปรากฏการณ์ Searching for Yields  ของนักลงทุนรายย่อย จากระดับดอกเบี้ยที่อยู่ต่ำ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นกู้เอกชน  และมาตรการ Uptick rule ที่ ตลท.บังคับใช้ ยังช่วยลดแรง Short sales ในตลาดลงอย่างสำคัญ  และเห็นได้จากนักลงทุนรายบุคคลที่มีสัดส่วนในตลาดรวมมากกว่า 50%

ด้านนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเดือน ก.ค.จะเป็นไปลักษณะเทรดดิ้ง  คือ เมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นให้นักลงทุนขายหุ้นและเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงก็เข้าซื้อ ซึ่งมองระดับแนวต้านสำคัญที่เหมาะกับการขายหุ้นออกคือ 1,400 จุด ส่วนระดับแนวรับแรกที่เข้าซื้อจะอยู่ที่ 1,310 จุด  

          “เดือน ก.ค.จะเป็นช่วงที่ บจ.จะประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ซึ่งทางทรีนีตี้ ไม่กังวลต่อกำไรของ บจ.ในไตรมาสนี้ เพราะอยู่ในราคาและคาดกันอยู่แล้วว่าจะเป็นช่วงที่แย่สุด แต่กังวลกับผลดำเนินงานงวดไตรมาส3มากกว่าหากออกไม่ดีก็จะส่งผลต่อตลาดทุนในภาพรวม ”  

นายณัฐชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนรายบุคคลที่มีสัดส่วนกว่า 50% ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กหรือ  sSET จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นกลุ่มที่มักปรับตัวได้ดีไปกับการมีส่วนร่วมของนักลงทุนกลุ่มนี้ นอกจากนั้นหุ้นในกลุ่มนี้ยังเป็นหุ้นที่เห็นแนวโน้มการเติบโตของผลกำไรที่ดีในปีหน้าและยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอีกด้วย

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในภาพรวมแนะนำลงทุนหุ้นเติบโต (Growth stock)ซึ่ง มี 3 กลุ่ม  คือ 1) กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่  BGRIM, GPSC, RATCH  2) กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ CPF, TFG ,RBF 3) กลุ่มบริหารสินทรัพย์ เลือก JMT นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุน PTG เพราะหลังปลดล็อคเคอร์ฟิวจะทำให้การเดินทางกลับมาและจะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึง SFLEX เพราะผลิตแพคเกจจิ้งที่อิงกับสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ยังคงจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน

เงาหุ้น : มุมมองหุ้นเดือน ก.ค.

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 30 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,339.03 จุด เพิ่มขึ้น 9.27 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 58,589.45 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,173.69 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด ADVANC ปิด 185 บาท ลบ 2 บาท, PTT ปิด 37.75 บาท บวก 0.50 บาท, KBANK ปิด 93.25 บาท บวก 0.50 บาท, CBG ปิด 104 บาท บวก 4.50 บาท และ KCE ปิด 22.80 บาท บวก 1.30 บาท

หุ้นไทยพลิกกลับมาแดนบวกตามเซนติเมนต์ตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ขณะที่เม็ดเงินจากกองทุน SSFX ไหลเข้าตลาดหุ้นเป็นวันสุดท้าย

บล.เอเชีย เวลท์ มีมุมมองหุ้นไทยเดือน ก.ค.63 ผันผวนโดยมีแนวรับ 1,295 จุด และแนวต้านที่ 1,370 จุด จาก 3 ปัจจัยดังนี้ 1.การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บางประเทศที่เริ่มเข้าสู่การแพร่ระบาดรอบ 2 รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นทั่วโลก

2.มูลค่าของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอาจแพงเกินไปแล้ว โดยอยู่ที่ P/E 19 เท่า มากกว่าในอดีตที่ซื้อขายอยู่ที่ P/E 16 เท่า ทำให้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน 3.กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ปี 63 อาจถูกปรับลงอีก

นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีมุมมอง “เป็นกลาง”

ต่อตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค.นี้ มองหุ้นไทยอยู่ในช่วงของการพักฐานต่อเนื่องจากช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 1,250 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด

ด้าน บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่า หนึ่งในอุปสรรคที่ขวางการไหลเข้าของฟันด์โฟลว์ คือ แนวโน้มการปรับลดประมาณการกําไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ลง ทั้งนี้ Consensus ยังคงทยอยปรับประมาณการกําไรปี 63 ลงมาต่อเนื่องจนล่าสุดอยู่ที่ 65.38 บาท/หุ้น ใกล้เคียงกับระดับที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินในช่วงก่อนหน้าที่ 64 บาท/หุ้น

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับประมาณการกำไรลงอีก เนื่องจากภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกทำได้เพียง 30-40% ของประมาณการทั้งปี 63.


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

แฟรนไชส์ FIVE STAR และ Star coffee ตอบโจทย์ส่งเสริมอาชีพให้ชุมชน และสร้างเอสเอ็มอี

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส พร้อมด้วย นายศุภฤกษ์ หอมสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร ธุรกิจห้าดาว บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงความยินดีกับ นางสาวรจนา อิทธิเทพกาญจนา เจ้าของร้าน FIVE STAR และ Star coffee สาขา อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เปิดให้บริการกับชาวพนัสนิคมแล้วทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7.00-20.00 น. โดยสาขาล่าสุดของ FIVE STAR นับเป็นสาขาที่ 315 ส่วนร้านกาแฟ Star coffee นับเป็นสาขาที่ 125

นายสุนทร กล่าวว่า ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประชาชนและภาคแรงงานต้องกลับภูมิลำเนา จึงมองหาอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัว สอดคล้องกับแนวคิดของบริษัทฯ ที่มุ่งส่งเสริมอาชีพให้ชุมชนและสร้างผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ธุรกิจแฟรนไชส์ของร้าน FIVE STAR แบรนด์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่ปี 2528 หรือกว่า 35 ปี และล่าสุดเปิดธุรกิจร้านกาแฟ Star coffee ช่วยตอบโจทย์และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของธุรกิจ ขณะเดียวกัน ได้ปรับโปรโมชั่นราคาพิเศษช่วยเหลือค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลดีให้กับผู้ประกอบการมียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 10%

ร้าน FIVE STAR เปิดให้บริการทุกวัน ด้วยอาหารพร้อมทานมากกว่า 30 เมนู อาทิ ไก่ย่างห้าดาว ไก่ทอดห้าดาว ไก่จ๊อห้าดาว และเมนูข้าว FIVE STAR พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ไก่กรอบ ชิ้นละ 20 บาท อกไก่อบชานอ้อย ชิ้นละ 45 บาท ไก่ทอดเกลือ ครึ่งตัว 55 บาท และเป็ดทอดเยอรมัน ครึ่งตัว 99 บาท เป็นต้น

ส่วนร้านกาแฟ Star Coffee ในรูปแบบร้านที่ทันสมัย มีเมนูเครื่องดื่มร้อน เย็น และปั่น ในราคามิตรภาพ การันตีด้วยมาตรฐานจาก CPF ในบรรยากาศร้านนั่งที่ตกแต่งอย่างสวยงาม พร้อมชูนโยบาย “รักษ์โลก” ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแก้วไบโอพลาสติกและหลอดไบโอพลาสติกที่ทำจากพืช ย่อยสลายในธรรมชาติได้ 100% ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ชื่นชอบกาแฟและใส่ใจสิ่งแวดล้อม พิเศษ! โปรโมชั่นฉลองเปิดร้าน เพียงซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว ลุ้นจับไข่รางวัล 1 สิทธิ์ หรือเครื่องดื่ม 1 แก้ว +10 บาท รับข้าวต้มมัด 1 ชิ้น และขนม 1 แถม 1 เป็นต้น

ธุรกิจร้าน FIVE STAR และ Star coffee นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมั่นคงและยั่งยืน สนใจธุรกิจห้าดาว ติดต่อได้ที่ 02-800-8000 และธุรกิจร้านกาแฟ ติดต่อได้ที่ www.starcoffee.in.th

เงาหุ้น : เล็งหุ้นปันผล!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 29 มิ.ย.63 ปิดที่ 1,329.76 จุด  ลดลง 0.58 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 48,903.24 ล้านบาท     ต่างชาติขายสุทธิ 642.56 ล้านบาท

                หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด  KBANK ปิด  92.75 บาท บวก 1.75 บาท ,AOT ปิด 59.25 บาท บวก 0.25 บาท, PTT ปิด 37.25 บาท บวก  0.25 บาท ,CPALL ปิด 67.75 บาท บวก  0.25 บาทและ GPSC ปิด  74  บาท ลบ 0.75 บาท 

                หุ้นไทยลดลงเล็กน้อย มีปัจจัยกดดันจากกระแสเงินทุนไหลออกและกังวลการแพร่ระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19

                 บทวิเคราะห์ บล. เอเซีย พลัส ระบุว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ควรลงทุนหุ้นปลอดภัย ซึ่งคือหุ้นปันผล ซึ่งสถิติเชิงปริมาณเพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนหุ้นปันผลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า หากซื้อหุ้นปันผลก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ประมาณ 2 เดือน และขายทำกำไรในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD มีโอกาสให้ผลตอบแทน 3-4% และมีโอกาสที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่า 80%

                โดยเลือกหุ้นกลุ่มที่มีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ทั้งปีมากกว่า 4% ขึ้นไป ซึ่งสามารถคาดหวังผลตอบแทน 2 ต่อ ทั้งราคาหุ้นและเงินปันผล

                ส่วน บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยสถิติผลตอบแทนของหุ้นในดัชนี SET 100 ช่วงที่มีการจ่ายเงินปันผล ตั้งแต่ปี 51 ช่วงก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ประมาณ 1 เดือน หุ้นจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.45% โดยการลงทุนในช่วงนี้มี 2 ลักษณะ คือ

ซื้อเพื่อการเก็งกำไร ให้เลือกหุ้นที่มี Dividend Yield สูง แนวโน้มให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลทั้งปีมากกว่า 3-4%

                ส่วนหากจะซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาว ต้องเลือกหุ้นที่มีราคาไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มเติบโต ขณะที่ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำ

                ขณะที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เผยว่า หุ้นปันผลจะได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากเม็ดเงินกลุ่มกองทุนหุ้นปันผล (High Yield Fund) ที่ต้องปรับลดน้ำหนักการลงทุนจากหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ หลัง ธปท. ได้ออกคำสั่งให้แบงก์พาณิชย์งดปันผลระหว่างกาล คาดว่าเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวจะย้ายไปเข้าหุ้นปันผลสูงในกลุ่มอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับกลุ่มธนาคาร

                ทั้งนี้ ปกติแบงก์ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล  คือ BAY, BBL, KBANK, KKP และ SCB  ซึ่งคาดว่าเงินปันผลระหว่างกาล ที่จะหายไปมีมูลค่ารวมกันราว 1.43 หมื่นล้านบาท

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เริ่มแล้ว! มหกรรมสินค้าโมบาย เสมือนจริงครั้งแรก AIS 5G Thailand Virtual Expo

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อฟื้นฟูประเทศไทยให้ก้าวผ่านและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน โดยการจับจ่ายและการบริโภค (Consumption) ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นและพลิกฟื้นการเติบโตของเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้คนไทยยังต้องดูแลสุขอนามัยและรักษาระยะห่างตามมาตรการ Social Distancing

เอไอเอส มีความตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการฟื้นฟูประเทศไทยด้วยโครงข่ายดิจิทัลและดิจิทัล แพลตฟอร์มที่เรามีอยู่ จึงได้จัดงาน AIS 5G Thailand Virtual Expo พลิกโฉมการจัดงานเอ็กซ์โปที่เคยจัดแบบ Physical ในฮอลล์ขนาดใหญ่ โดยได้ยกงานนั้นมาไว้บนออนไลน์แล้ว พร้อมด้วยเทคโนโลยี Virtual Reality ให้ภาพและเสียงสมจริง เสมือนอยู่ในงานเอ็กซ์โป สร้างประสบการณ์การช้อปที่แปลกใหม่และไม่เคยมีมาก่อน เพื่อให้นักช้อปรุ่นใหม่แห่งยุค New Normal ได้คลิกซื้ออย่างปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง และยังถือ Business Model ใหม่แห่งวงการ Market Place ที่เอไอเอสพร้อมพัฒนาเพื่อขยายขีดความสามารถและยกระดับศักยภาพธุรกิจ e-Commerce ซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์ของประเทศไทยให้ก้าวไปอีกขั้น

ทั้งนี้ เอไอเอสได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรดีไวซ์ชั้นนำระดับโลก นำสินค้าไอทีทั้งสมาร์ทโฟนและแก็ดเจ็ตมากมายมาจำหน่ายในราคาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ นอกจากนี้ ยังได้จับมือผู้ประกอบการรายย่อยและ SME นำสินค้ามาจำหน่าย สร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงลูกค้าและมีรายได้ เพื่อโอกาสในการที่ SME จะจ้างงานต่อไปในอนาคต

สำหรับงาน AIS 5G Thailand Virtual Expo จะมีสินค้า โมบาย อาหาร แฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าไลฟ์สไตล์ จากผู้ค้ารายย่อย กว่า 500 ร้านค้า ในรูปแบบออนไลน์ Virtual Reality (VR) หรือโลกเสมือนจริง ให้ระบบภาพและเสียงในรูปแบบมัลติมีเดีย อินเตอร์ แอคทีฟ 360 องศา ทั้งในรูปแบบ 2D, 3D หรือประสบการณ์การช้อปที่สมจริงยิ่งขึ้นด้วยการรับชมผ่านแว่น VR สอดรับพฤติกรรมนักช้อปแห่งยุค New Normal ที่เน้นดูแลสุขอนามัย ความปลอดภัย และรักษาระยะห่าง ผู้สนใจ สามารถคลิกช้อปสินค้าไอทีและไลฟ์สไตล์ในงานได้ที่ www.ais.co.th/ThailandVirtualExpo  ได้ตลอด 24 ชม. 5 วันเต็ม (29 มิ.ย. – 3 ก.ค. 63)