Home Blog Page 23

เงาหุ้น : หุ้นแบงก์

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 ก.ค.63 ปิดที่ 1,354.31 จุด เพิ่มขึ้น 13.24 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 59,689.12 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,310.48 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPF ปิด 34.50 บาท บวก 1 บาท, STGT ปิด 80.25 บาท ลบ 3.75 บาท, EA ปิด 48.25 บาท ลบ 0.25 บาท, PTTEP ปิด 95.25 บาท บวก 2.75 บาท และ AOT ปิด 55.25 บาท บวก 1 บาท

ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น หลังมีปัจจัยบวกจากความคาดหวังวัคซีนโควิด-19 กลับเข้ามากระตุ้นการลงทุน ขณะที่นักลงทุนเลือกซื้อคืนหุ้นรายตัว ที่ปรับตัวลงแรง

มีบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มแบงก์ จากหลายโบรกเกอร์ กรณี ธปท.อาจขยายเวลาให้ธนาคาร ลดเงินค่าธรรมเนียมนำส่ง FIDF ออกไปจากปี 64 โดย บล.โนมูระ พัฒนสิน มองเป็น Positive sentiment ต่อประเด็นนี้ หากกลุ่มธนาคารได้รับการต่ออายุ ลดค่าธรรมเนียมนำส่ง FIDF ซึ่งปัจจุบันปรับลดลงจาก 0.46% เหลือ 0.23% มีผลตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 63 ถึงไตรมาส 4 ปี 64 ทำให้ปี 65 กลุ่มแบงก์จะมีต้นทุนทางการเงินลดลง และ NIM เพิ่มขึ้น

มองว่าแบงก์ใหญ่จะได้ประโยชน์มากกว่าแบงก์กลาง-เล็กด้วยฐานเงินฝากที่สูงกว่า หากพิจารณาเงินฝาก ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 63พบว่า BBL มีฐานเงินฝากมากสุดที่ 2.51 ล้านล้านบาท ตามด้วย KTB ที่ 2.35 ล้านล้านบาท, SCB ที่ 2.27 ล้านล้านบาท และ KBANK ที่ 2.20 ล้านล้านบาท เลือก BBL และ TISCO เป็น Top pick ของกลุ่ม

ขณะที่ บล. เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่ากรณีดังกล่าว รวมถึงการที่ ธปท.อาจไม่ต่อเวลามาตรการที่ให้ธนาคารพาณิชย์อุ้มลูกหนี้ ถือเป็นข่าวบวก โดยการต่ออายุการลดเงินนำส่ง FIDF จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินลงได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง

โดยเคทีบีได้ทำ sensitivity หากปรับลดเงินนำส่ง FIDFลงเหลือ 0.23% จาก 0.46% ในปี 65 ต่ออีก พบว่า กลุ่มแบงก์ใหญ่ได้ประโยชน์มากกว่าแบงก์เล็ก ทั้งนี้ KTB ได้ผลดีมากที่สุด โดยกำไรสุทธิมีอัปไซด์เพิ่ม 14% รองลงมาเป็น BBL13% และ SCB 10% ส่วน KBANK 9%

ส่วนประเด็นเรื่องการไม่ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือที่จะหมดอายุเดือน ต.ค.63 ส่งผลดีในแง่กระแสเงินสดที่จะเข้ามา ทำให้ธนาคารไม่ขาดสภาพคล่อง ขณะที่เชื่อว่าแต่ละธนาคารจะจัดการกับลูกหนี้ที่มีปัญหาได้

ชอบ BBL มากสุด แนะ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท เพราะเป็นแบงก์ที่ต้านทานภาวะเศรษฐกิจได้ดี และมีผลดีจากการรวมธนาคารเพอร์มาตาที่จะเพิ่ม upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ราว 10%!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ผงาด คว้า 2 รางวัลใหญ่ บนเวที 2020 ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน

เอไอเอส ตอกย้ำการเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้าน IoT และ Data Center ของไทย ล่าสุดคว้า 2 รางวัลใหญ่ Thailand IoT Service Provider of the Year Award ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และ Thailand Data Center Competitive Strategy Innovation & Leadership Award จากเวที 2020 Frost & Sullivan Thailand Excellence Awards จัดโดย บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลก

            นางอัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กรและบริการระหว่างประเทศ เอไอเอส เปิดเผยว่า ในฐานะ Digital Life Service Provider ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ Digital Infrastructure เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เอไอเอส ได้พัฒนาเทคโนโลยี IoT เฉพาะเพื่อธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ Smart Building, Smart Office, Smart Property, Smart City, Smart Transportation, Smart Logistics รวมถึงโซลูชัน IoT อื่นๆ ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม  เอไอเอสจึงมีความแข็งแกร่งในเรื่องของเครือข่ายสำหรับ IoT ตั้งแต่เครือข่าย NB-IoT ที่ประหยัดพลังงาน ไปจนถึงเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น 5G พร้อมสำหรับการเชื่อมต่อกับ IoT Platform เพื่อรองรับอุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย การใช้งาน Application และการสร้างเครือข่ายของผู้พัฒนา และ พาร์ทเนอร์ที่ช่วยสร้างความสามารถใหม่ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กรภาคธุรกิจ สาธารณชน ภาครัฐ ภาคการศึกษา และประเทศโดยรวม ส่งผลให้ เอไอเอส สามารถคว้ารางวัล Thailand IoT Service Provider of the Year Award ติดต่อกันเป็นปีที่ 3

           นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Thailand Data Center Competitive Strategy Innovation & Leadership Award ซึ่งมอบให้กับ CSL ในกลุ่มเอไอเอส ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลยอดนิยมของไทย ด้วยความเร็วการเชื่อมต่อระดับ 100 Gbps พร้อมด้วยทีมงานมืออาชีพที่แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และสถานที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลที่มากที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมขยายบริการออกสู่ภูมิภาค รองรับการขยายตัวของ Edge Computing ในราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ

          ทั้งสองรางวัลที่ได้รับ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของเทคโนโลยี Digital , ความรู้ และความสามารถของทีมงานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และทำให้เห็นถึงความพร้อมของเอไอเอสที่จะนำเทคโนโลยีมาร่วมฟื้นฟูประเทศ และช่วยประเทศพิชิตวิกฤตได้ด้วยความเป็นเลิศ          

โดย Frost & Sullivan เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจและการวิจัยเชิงธุรกิจที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 50 ปี โดยได้รับความไว้วางใจจากบริษัทและนักลงทุนชั้นนำระดับโลกมากกว่า 1,000 แห่ง จาก 40 กว่าประเทศทั่วโลก

คาดตลาดที่อยู่อาศัยในกทม.และปริมณฑล ปีนี้หดตัว 27% ต้องใช้เวลา 5 ปีถึงจะฟื้นกลับสู่ระดับเดิม

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีนี้มีแนวโน้มหดตัว 27% เหลือเพียง 4.2 แสนล้านบาท จากโควิด-19 คาดมียูนิตเปิดใหม่เพียง 72,000 ยูนิต ลดลงเกือบ 40% โดยต้องใช้เวลา 4-5 ปี ที่ตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 เผยเกิด New Normal ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น ซื้อที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์ ต้องการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ขึ้นรองรับการทำงานที่บ้านแทนการเลือกทำเล พื้นที่ส่วนกลางต้องมีพื้นที่ส่วนตัว เพื่อความปลอดภัย แนะนำเทคโนโลยี Virtual Visits และติดตั้งอุปกรณ์ Touchless ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภค

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ ถูกบั่นทอนอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยผู้บริโภคไทยได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะหดตัวอย่างรุนแรง (Deep Recession) ถึง 8.8% ส่วนผู้บริโภคต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ Lockdown ทำให้ไม่สามารถซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ ส่งผลให้ยอดจองเปิดใหม่ (Pre-sale) ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจาก 20% ในไตรมาสที่ 4/2562 มาอยู่ที่ 15% ในไตรมาสที่ 1/2563 และมีโอกาสลดต่ำลงเหลือ 12% ในไตรมาสที่ 2/2563 โดยประเมินว่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีนี้ มูลค่าลดลง 27% จาก 5.7 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา เหลือ 4.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์บ้านจัดสรร 2.4 แสนล้านบาท ติดลบ 24% คอนโดมิเนียม 1.8 แสนล้านบาท ติดลบ 30% ส่งผลให้สต็อกเหลือขายในภาพรวม มีโอกาสขยายตัว 5% ขึ้นไปแตะ 185,000 ยูนิต แม้ผู้พัฒนาอสังหาฯ จะปรับลดการเปิดโครงการใหม่ลงเกือบ 40% จากปีที่ผ่านมาก็ตาม

“โควิด-19 ทำให้ความตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัยหายไปราว 1 ใน 3 โดย 80% ของผู้บริโภคเลื่อนการซื้อออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากต้องให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต และการลงทุนในอสังหาฯขณะนี้ให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก ซึ่งทางออกของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือการเลื่อนการก่อสร้างออกไป รอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี ถึงจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19”

นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลง ยังพบ 3 พฤติกรรมหลักๆของผู้บริโภคบางกลุ่มอาจเปลี่ยนไปอย่างถาวร (New Normal) ได้แก่ เปลี่ยนช่องทางการซื้อที่อยู่อาศัยผ่านทางออนไลน์ โดยในช่วงเกิดโควิด-19 มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 40% ทำให้กลายเป็นช่องทางหลักของผู้พัฒนาฯ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับขนาดของที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยยอมอยู่ไกลกว่าเดิม เพื่อรองรับกิจวัตรประจำวันที่ต้องใช้เวลาในที่อยู่อาศัยนานขึ้น เช่น การ Work From Home และสุดท้ายผู้บริโภคหวงแหนความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ต้องการใช้พื้นที่ส่วนกลางแบบมีพื้นที่ส่วนตัว เพื่อตอบโจทย์ด้านสุขภาพและความปลอดภัย

“ผู้พัฒนาอสังหาฯ ควรพิจารณาแนวทางต่าง ๆ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาทิ การนำเทคโนโลยี Virtual Visits มาสนับสนุนการซื้ออสังหาฯ ผ่านทางออนไลน์ โดยสามารถชมโครงการได้อย่างเสมือนจริง ปรับแผนมาพัฒนาบ้านแนวราบมากขึ้น เช่น บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม ออกแบบคอนโดมิเนียมในบางทำเล ให้มีห้อง One Bed Plus แทน Studio มากขึ้น ตลอดจนการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางใหม่ให้สามารถนั่งแยกกัน และติดตั้งอุปกรณ์ Touchless เพื่อลดโอกาสที่ผู้บริโภคจะสัมผัสกันให้น้อยที่สุด”

เงาหุ้น : เลือกหุ้น Defensive

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 ก.ค. 63 ปิดที่ 1,341.07 จุด ลดลง 1.30 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 63,991.66 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 229.37 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศขายสุทธินำตลาด 1,910.47 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 84 บาท บวก 2.25 บาท, STA ปิด 29.50 บาท ลบ 0.75 บาท, CPF ปิด 33.50 บาท ลบ 0.25 บาท, EA ปิดที่ 48.50 บาท บวก 2.75 บาท และ PTL ปิด 22.50 บาท บวก 1.10 บาท

ตลาดหุ้นปรับตัวลง กังวลโอกาสเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 ในประเทศ หลังมาตรการควบคุมโรคสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศของคณะวีไอพีที่ได้รับการยกเว้นจากภาครัฐไม่เข้มงวดทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยปลอดโควิด-19 มากขึ้น

บล.โกลเบล็ก แนะลงทุนในหุ้น Defensive Stock เช่น ADVANC-INTUCH-DIF-TTW-BEM-BTS-CHG และ BCH รวมทั้งหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี เช่น WICE- TASCO และ CPF

รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน” เช่น ERW-CENTEL-BA และ ASAP

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส คัดกรองหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มีโอกาส Upside เกิน 10% และเป็นหุ้น Outperform ตลาดได้ดีตอนที่เกิดการระบาดรอบแรก และเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นโควิด-19 แนะนำ STGT-STA การกลับมาตระหนัก (ยกการ์ดสูง) ถึงการป้องกันไวรัส ช่วยหนุนความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้น

ส่วนหุ้นที่ปรับตัวได้ดีในตอนเกิดโควิด-19 ในระยะแรก กลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค อย่าง CPF-CPALL กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จากปรับตัวตาม Social Distancing อย่าง ADVANC-INTUCH-DIF

และหุ้นที่มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับผลกระทบ COVID-19 อย่าง DCC

ปิดท้ายมีข่าวจาก บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล (MINT) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้พิจารณาปรับลดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) จาก 18.90 บาท เหลือ 17.50 บาท หรือลดลง 7.4%

เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้นแต่ยังคงอัตราส่วนการเสนอขายที่ 8.2 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนจากการที่บริษัทได้จัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่ 563,293,276 หุ้น เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เงาหุ้น : มุมมองไทยพาณิชย์

        ดัชนีหุ้นไทยวันที่  13 ก.ค. 63  ปิดที่ 1,342.37 จุด  ลดลง  8.13 จุด  มีมูลค่าซื้อขาย 62,374.16 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 422.87 ล้านบาท

                หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPF ปิด 33.75 บาท บวก 2 บาท ,STGT ปิด  81.75 บาท บวก  7.25 บาท มู,STA ปิด  30.25 บาท บวก  2.25 บาท ,PTT ปิด  37.50 บาท ลบ 0.75 บาทและ AOT ปิด  54.50 บาท ลบ 0.50 บาท

                “สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์   มองหุ้นไทยมี upside จำกัด หลัง  valuation มูลค่าหรือราคาหุ้นไม่สมเหตุสมผล แม้ความเสี่ยงระยะสั้นลดลง แต่ความไม่แน่นอนระยะยาวยังมีอยู่ 

                ยังคงมุมมองการลงทุนระมัดระวังต่อภาคบริการเนื่องจาก 3 ปัจจัย  คือการฟื้นตัวช้า,อัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง และ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ 

                กลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 3 สำหรับพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว แนะให้เข้าซื้อหุ้น defensive คุณภาพสูง เช่น กลุ่มสินค้าจำเป็นและกลุ่มการแพทย์ แม้การ rotation ไปยังกลุ่มหุ้น cyclical ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป น่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่แนะนำกลุ่มที่มีความคาดหวังต่ำ เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี และแบงก์

                ทั้งนี้ หุ้นรายตัวให้ความสำคัญกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและ story เกี่ยวกับการเติบโตรอบใหม่มากกว่าการปรับเพิ่ม valuation  ดังนี้ พอร์ตลงทุนแบบ defensive ซึ่งประกอบด้วย top picks จากไตรมาส2 คือหุ้น  BDMS -BEM-BTS และ CPF และหุ้น defensive ใหม่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ ADVANC -BCH

                ส่วนพอร์ตลงทุนเชิงกลยุทธ์  เน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น BBL- ERW- IVL และ HAN

                สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกและไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส2  แต่ต่อไปอาจมีความเสี่ยง downside บางอย่าง ที่จะส่งผลกระทบทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงมากกว่าที่คาดไว้

                มีปัจจัยเสี่ยง 3 ประการ คือ 1. การลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงของสหรัฐฯ  2.การระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19     3.ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต !!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

CP Freshmart ผนึกกำลัง Five Star และ STAR coffee เปิดร้านใหม่สไตล์ “มอลล์” กลางเมืองลำพูน

นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดร้าน CP FreshMart สาขาใหม่ ในสาขาลำพูน-รอบเมืองใน อ.เมือง จ.ลำพูน โดยมี นายสุนทร จักษุกรรฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจห้าดาว และ นายชลากร อัศวอิทธิฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงความยินดีกับ นางสาวสุพัตรา นันทะยานนท์ เจ้าของร้าน Five Star – STAR coffee ที่เปิดสาขาในพื้นที่เดียวกันตามแนวคิดใหม่ในสไตล์ “มอลล์”

สำหรับร้าน Five Star เป็นสาขาที่ 314 ของธุรกิจห้าดาว เปิดให้บริการอาหารพร้อมรับประทานมากกว่า 30 เมนู อาทิ ไก่ย่างห้าดาว ไก่ทอดห้าดาว ไก่จ๊อห้าดาว เป็นต้น ส่วนร้านกาแฟ STAR coffee เป็นสาขาที่ 124 ในรูปแบบร้านที่ทันสมัย ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแก้วไบโอพลาสติกและหลอดไบโอพลาสติกที่ทำจากพืช ย่อยสลายในธรรมชาติได้ 100% ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ชื่นชอบกาแฟและใส่ใจสิ่งแวดล้อม นับอีกทางเลือกหนึ่งของการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับพี่น้องชาวลำพูนและคนไทยรุ่นใหม่หัวใจสีเขียวที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ในบริเวณเดียวกันยังเปิดร้านซีพี เฟรชมาร์ท รูปโฉมใหม่สไตล์ล้านนา ประดับด้วยไม้ฉลุ และการสร้างสรรค์ศิลปะบนกำแพงที่มีความสวยงามเข้ากับวัฒนธรรมทางภาคเหนือ และตอบไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด “สดทุกวัน คุ้มทุกวัน” เพิ่มความสะดวกในทุกมื้อดีๆ ในทุกๆ วัน ให้กับผู้บริโภคชาวลำพูน โดยมีสินค้าหลากหลายให้เลือกสรรความอร่อยแบบครบครัน ทั้งของสด เช่น กุ้งสดพรีเมียม ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่สด, หมูดำ ซีพี คูโรบูตะ, ไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection Cage Free Egg ผักและผลไม้ เครื่องปรุงรส อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน และอาหารแห้ง รวมถึงเมนูสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ แบรนด์ Smart Meal, Smart Soup เมนูขนมหวาน และเครื่องดื่มต่างๆ เป็นต้น

สำหรับสาขาดังกล่าว เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-21.00 น. หรือสั่งซื้อสินค้าจากร้านซีพี เฟรชมาร์ท ได้ง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น CP FreshMart ซึ่งดาวน์โหลดได้จากมือถือทุกระบบ รวมถึงสามารถสั่งผ่านฮอตไลน์ โทร.1788 และเว็บไซต์ www.cpfreshmartshop.com

เปิดเมกะดีล เอไอเอส ผนึกสหพัฒน์ฯ ตั้งบริษัทร่วมทุน สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค

สานต่อแผนความร่วมมือพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ นำพลานุภาพ AIS 5G ปูพรมเต็มพื้นที่ EEC
พัฒนาสู่ Smart Industrial ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก ผสานพลังฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศไทย

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า  เอไอเอส ร่วมมือกับบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI  บริษัทในเครือสหพัฒน์ จัดตั้ง บริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค หรือ SAN  ให้บริการโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) และ ICT Infrastructure ภายในสวนอุตสาหกรรมของ SPI ทั้ง 4 แห่ง คือ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี, อ.เมือง จ.ลำพูน และ อ.แม่สอด จ.ตาก รวมพื้นที่ประมาณ 7,255 ไร่ ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่กว่า 112 แห่ง พร้อมเตรียมนำ ICT Infrastructure และเทคโนโลยี 5G ทั้ง  5G Stand Alone (5G SA) เครือข่าย 5 โดยเฉพาะ ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ และ 5G Network Slicing  ที่เอไอเอส เป็นรายแรกรายเดียวในไทย ที่สามารถออกแบบเครือข่ายได้อย่างสอดคล้องและยืดหยุ่น ตอบโจทย์ลักษณะของอุตสาหกรรมแต่ละรูปแบบ แต่ละพื้นที่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพไปให้บริการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มผลผลิตให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ทั้งยังเป็นต้นแบบของการนำเอาเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนายวิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง มีความตั้งใจที่จะพัฒนาสวนอุตสาหกรรมไปสู่มาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามายกระดับการบริหารและพัฒนาพื้นที่ภายในสวนอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ยกระดับกระบวนการผลิตสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะ และนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0  บริษัทยินดีที่ได้ร่วมกับเอไอเอส นำโครงข่าย Fiber Optic มาให้บริการภายในสวนอุตสาหกรรมของ SPI ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการต่อยอดบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูง และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับองค์กร อีกทั้งยังเป็นการรองรับการเติบโตของบริการ 5G สำหรับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในอนาคต

ทั้งนี้  เชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ที่เป็นผู้นำด้านสินค้าอุปโภคและบริโภค และมีความแข็งแกร่งด้านการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน เมื่อผนวกกับจุดแข็งของเอไอเอส ในด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่แข็งแกร่งด้วยเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และครอบคลุมทั่วประเทศ จะช่วยให้ผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC สามารถผลิตสินค้าและดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ช่วยดึงดูดให้นักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกสนใจมาลงทุนตั้งฐานการผลิตที่ในพื้นที่ EEC มากยิ่งขึ้น อันจะเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาแข็งแกร่ง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยได้อย่างยั่งยืน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค หรือ SAN จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 300,000 หุ้น เป็นเงิน 30,000,000 บาท โดย บริษัท แอดวานซ์ บรอดแบรนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (ABN) ถือหุ้น 70% คิดเป็นเงินลงทุน 21 ล้านบาท และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (SPI) ถือหุ้น 30% คิดเป็นเงินลงทุน 9 ล้านบาท

FIVE STAR และ Star coffee ฉลองเปิดสาขาใหม่ รพ.กระทุ่มแบน

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส พร้อมด้วยนายศุภฤกษ์ หอมสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร ธุรกิจห้าดาว บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงความยินดีกับ นางวรวรรณ จั่นทิม เจ้าของร้าน FIVE STAR และ Star coffee ฉลองเปิดสาขาใหม่โรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น.

นายสุนทร กล่าวว่า การเปิดสาขาพื้นที่โรงพยาบาลถือเป็นทำเลใหม่ที่ธุรกิจห้าดาวให้ความสำคัญ และขยายสาขาในช่องทางนี้อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการหาทำเลที่เหมาะสมแล้ว อีก 3 เรื่องที่ปีนี้ทางห้าดาวให้ความสําคัญคือ การเพิ่มเมนูข้าวกล่อง ซึ่งลูกค้าบางคนมีเวลาจำกัดจึงซื้อเพียงอาหารกล่อง ทำให้ธุรกิจห้าดาวต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพิ่มเติม นอกจากนี้คือการทำ delivery ซึ่งเราทำเองใช้ชื่อว่า Star delivery โดยตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการเปิดร้านแบบคู่ คือ Five STAR และ Star coffee ก็ยังเป็นสิ่งที่เราให้ความสําคัญ

ร้าน FIVE STAR สาขาโรงพยาบาลกระทุ่มแบน เป็นสาขาที่ 320 มีการตกแต่งแบบทันสมัย กว้างขวาง สามารถนั่งทานในร้านได้ บริการอาหารพร้อมทานมากกว่า 30 เมนู อาทิ ไก่ย่างห้าดาว ไก่ทอดห้าดาว ไก่จ๊อห้าดาว และเมนูข้าว FIVE STAR รวมถึงอาหารอื่นๆ อีกมากมายไว้คอยบริการให้ลูกค้าเลือกอร่อย และเข้าถึงได้ในราคาที่คุ้มค่า

นอกจากนี้ ยังมีร้านกาแฟ Star coffee ที่เปิดร่วมกัน มีบรรยากาศร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงาม นั่งสบาย มีเมนูเครื่องดื่มร้อน เย็น และปั่น ในราคามิตรภาพ การันตีด้วยมาตรฐานจาก CPF ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมชูนโยบาย “รักษ์โลก” ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแก้วไบโอพลาสติกและหลอดไบโอพลาสติกที่ทำจากพืช ย่อยสลายในธรรมชาติได้ 100% ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ชื่นชอบกาแฟและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

สำหรับโปรโมชั่นของร้าน FIVE STAR มีหลายรายการด้วยกัน เช่น ไก่กรอบ ชิ้นละ 20 บาท อกไก่อบชานอ้อย ชิ้นละ 45 บาท ไก่ทอดเกลือ ครึ่งตัว 55 บาท และเป็ดทอดเยอรมัน ครึ่งตัว 99 บาท ส่วนร้าน Star coffee มาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดร้าน เพียงซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว ลุ้นจับไข่รางวัล 1 สิทธิ์ทันที

ธุรกิจร้าน FIVE STAR และ Star coffee นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมั่นคงและยั่งยืน สนใจธุรกิจห้าดาว ติดต่อได้ที่ 02-800-8000 และธุรกิจร้านกาแฟ ติดต่อได้ที่ www.starcoffee.in.th

วุฒิศักดิ์คลีนิก ยื่นศาลล้มละลาย ขอฟื้นฟูกิจการ หลังแบกหนี้หลักสิบล้านบาท

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เฟสบุ็คทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้โพสข้อความเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา มีเนื้อหาว่า

“วุฒิศักดิ์คลีนิค คลีนิคเสริมความงามระดับประเทศ ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลาง ขอฟื้นฟูกิจการ ตามกฎหมายล้มละลาย

ศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวน วันที่ 31 สิงหาคม 2563

ใครซื้อคอร์สเสริมความงามไว้ และ บรรดาเจ้าหนี้ โปรดติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป”

พร้อมกันนี้ได้โพสรูปภาพประกอบ เป็นหนังสือประกาศศาลล้มละลายกลาง เรื่องขอฟื้นฟูกิจการ บริษัท วุฒิศักด์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด โดยมีใจความสรุปว่า ด้วยคดีนี้ บริษัท วุุฒิศักดิ์ มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นหนี้เจ้าหนี้ไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท แต่กิจการของลูกหนี้ยังมีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้ตามพรบ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/3, 90/4 ขอให้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ

โดยศาลได้มีคำสั่งรับคำร้อง เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 63 และกำหนดนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 31 ส.ค. 63 เวลา 9.00 น. จึงแจ้งให้เจ้าหนี้หรือผู้มีส่วนได้ส่่วนเสียทราบผู้ใดจะคัดค้านคำร้องเรื่องนี้ประการใด ให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่าสามวัน

เงาหุ้น : โควิด–19 ยังกดดัน

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 10 ก.ค.63 ปิดที่ 1,350.50 จุด ลดลง 15.31 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 64,196.73 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,157.76 ล้านบาท

ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นไทยลดลง 21 จุด นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 261 ล้านบาท ขณะที่สถาบันขายสุทธิ 6,465 ล้านบาท พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 583 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยซื้อสุทธิ 6,788 ล้านบาท

หลังเผชิญแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอก 2 ในหลายประเทศ โดยความคาดหวังในปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นในภาคการท่องเที่ยวกับประเด็น Travel bubble ได้ถูกเลื่อนออกไป

ขณะที่การเมืองภายในประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง คาดว่าจะมีการปรับ ครม.ในเร็วๆนี้ หลังกลุ่ม 4 กุมารถอนตัวออกจากพรรคพลังประชารัฐ

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองทิศทางตลาดสัปดาห์หน้าคาดดัชนีจะยังแกว่งตัวในทิศทางขาลง หรือ Sideway down หลังสัญญาณทางเทคนิคออกมาไม่ค่อยดี โดยดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,360 จุด หากจะรักษาภาพขาขึ้น ในระยะกลางดัชนีไม่ควรหลุด 1,360 จุด และหากลงต่อก็มีความเสี่ยงที่จะลงลึกได้ เนื่องจากวิกฤติ COVID-19 ยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก

ขณะที่ต้องติดตามท่าทีของนายกรัฐมนตรีต่อการสรรหาทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ หลังการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งประเด็นการเมืองจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะโฉมหน้ารัฐมนตรีเศรษฐกิจคนใหม่

ส่วนผลประกอบการหุ้นกลุ่มแบงก์ที่จะเริ่มทยอยประกาศงบ Q2/63 ออกมา ซึ่งตลาดคาดว่าจะย่ำแย่ แม้จะออกมาแย่ตามที่คาดไว้จริง มุมมอง (Outlook) ในอนาคต นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่เด่นชัด โดยเป็นภาพกลางๆ (Neutral) มากกว่า

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้เปลี่ยนกลุ่มเล่น ไปยังหุ้น Defensive แนะหุ้น RATCH หรือธีม Earning play มีหุ้น MTC-BCH เด่น

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 1,320 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,390 จุด!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ