Home Blog Page 19

เชสเตอร์ เปิดเมนูใหม่ ‘ไก่อันยองวิงส์’ กรอบ ฟิน เหมือนกินที่เกาหลี

บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดในเครือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผู้นำเมนูไก่ย่าง ขอเปิดเทรนด์อาหารใหม่ เอาใจคอไก่ทอดสไตล์เกาหลี ด้วยเมนู “ไก่อันยองวิงส์” ไก่ทอดกรอบ คลุกเคล้าซอสรสชาติเข้มข้นสไตล์เกาหลี ที่คิดค้นพิเศษของเชสเตอร์ มีให้เลือก 2 รสชาติ ได้แก่ ‘การ์ลิค’ หอมกระเทียมลงตัว และ ‘โคเรียนสไปซี่’ เผ็ดถึงใจกับพริกเกาหลี ทานคู่กับข้าวสวย ผักดอง หรือเฟรนฟรายส์ ก็อร่อยลงตัว 

สัมผัสประสบการณ์ความอร่อยใหม่ “ไก่อันยองวิงส์” พร้อมกับโปรโมชั่นสุดสุดคุ้ม 3 ชุด ได้แก่ อันยองมินิ ประกอบด้วย ไก่อันยองวิงส์ 6 ชิ้น ข้าวสวย ผักดอง (พร้อมเครื่องดื่ม 16 ออนซ์) ราคาพิเศษ 179 บาท (จากปกติ 212 บาท) อันยองไจแอนท์ ไก่อันยองวิงส์ 10 ชิ้น ข้าวสวย 2 ที่ ผักดอง 2 ที่ (พร้อมเครื่องดื่ม 16 ออนซ์ 2 แก้ว) ราคาพิเศษ 299 บาท (จากปกติ 361 บาท) และอันยองภูเขาไฟ ไก่อันยองวิงส์ 7 ชิ้น พร้อมภูเขาเฟรนช์ฟรายส์ ราคาพิเศษ 179 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 64 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด สามารถสั่งที่ร้านเชสเตอร์ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ สั่งเชสเตอร์เดลิเวอรี่ โทร. 1145 หรือช่องทางเว็บไซต์ www.chesters.co.th รวมถึงแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ต่างๆ 

เชสเตอร์ ยังคงเข้มงวดในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และคุมเข้มทุกมาตรการด้านสุขอนามัยรับความปกติใหม่ (New Normal) ทั้งการบริการในร้าน โดยการขอความร่วมมือจากลูกค้า สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าร้าน ตลอดจนการเว้นระยะห่างทางสังคมระหว่างเข้าแถวชำระสินค้า และแบบดีลิเวอรี่ มีการจัดที่นั่งพิเศษสำหรับไรเดอร์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จัดทำอาหารตามรายการออเดอร์ให้ได้ตามมาตรฐานทั้งเรื่องคุณภาพสินค้า ความสะอาด พร้อมทั้งแพ็ครายการสินค้าและตรวจสอบให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้าและบริการแก่ลูกค้า

ออมสิน ช่วยลูกค้าเอสเอ็มอี พักชำระเงินต้น จ่ายแค่ดอกเบี้ย ถึงสิ้นปี

ออมสิน ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ลดภาระค่าใช้จ่ายโดยให้พักชำระเงินต้น จนถึง 31 ธันวาคม 2564

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินดำเนินการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารออมสิน จึงกำหนดมาตรการพักชำระเงินต้น – ชำระเฉพาะดอกเบี้ย ให้ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ทั้งที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการได้ตามความสมัครใจ เช่นเดียวกับลูกค้ารายย่อย

ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนของผู้ที่ต้องขาดรายได้หรือรายได้ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับผู้ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสมัครใจเข้าร่วมมาตรการ สามารถพักชำระเงินต้นเป็นการชั่วคราว และชำระเฉพาะดอกเบี้ย ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 วิธีการ คือ

  • 1. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้แจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการและเลือกแผนชำระหนี้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน MyMo
  • 2. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท และนิติบุคคลที่มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้ติดต่อแจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการเสริมจากการแก้ไขปัญหานี้ค้างชำระ ที่ธนาคารฯ ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามงวดชำระเดิม โดยที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 5 แสนรายสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ธนาคารออมสิน โทร. 1115 facebook : GSB Society และขอย้ำว่าธนาคารฯ ให้บริการทางการเงินรูปแบบดิจิทัลทางแอปพลิเคชัน MyMo เท่านั้น

เมืองไทยประกันชีวิต ขยายความคุ้มครองครอบคลุมผลกระทบหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ฟรี! ไม่ต้องลงทะเบียน

นายสาระ ล่าซา กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้าการดาเนินงานภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ที่พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ล่าสุดเพื่อเป็นการมอบความอุ่นใจและสร้างความมั่นใจในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บริษัทฯ ได้ทาการมอบความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม ด้วยการขยายความคุ้มครองผลกระทบหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ฟรี! โดยไม่ต้องลงทะเบียน เพียงลูกค้ามีกรมธรรม์ตามที่บริษัทฯ กาหนดและยังมีผลคุ้มครองอยู่ จะได้รับความคุ้มครอง ตามสิทธิของแต่ละแบบประกันภัยและเงื่อนไขที่กาหนด โดยสามารถใช้สิทธิความคุ้มครองได้ตั้งแต่วันนี้ 31 ธันวาคม 2564

สาหรับการขยายความคุ้มครองดังกล่าวจะมอบให้แก่ลูกค้าที่มีความคุ้มครองกลุ่มค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน กลุ่มค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก และกลุ่มชดเชยรายวัน ที่แนบท้ายกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภทสามัญ และประเภทควบการลงทุน รวมถึงประเภทประกันกลุ่ม และจะจ่ายผลประโยชน์ความคุ้มครองสาหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินผลประโยชน์ที่ระบุในตารางผลประโยชน์ของกรมธรรม์ประกันภัยที่ลูกค้าถือครอง โดยแบบประกันภัยที่ได้รับความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม ประกอบด้วย ความคุ้มครองกลุ่มค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวัน เช่น สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ ดี เฮลท์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ สมาร์ทเฮลท์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ ไดมอนด์แคร์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ แยกค่าใช้จ่าย (H&S), สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ วีไอพี, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ เหมาจ่าย, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ พรีเมี่ยม เฮลท์ แคร์, สัญญาเพิ่มเติม การรักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD), สัญญาเพิ่มเติม สุขภาพวงเงินแน่นอน (HB), สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพข้าราชการสุขสันต์, สัญญาเพิ่มเติม สุขภาพเด็กเล็ก (0-5 ปี), สัญญาเพิ่มเติม คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรม, ตะกาฟุล สุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย, ตะกาฟุลสุขภาพแบบวงเงินแน่นอน และสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพกลุ่ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การขยายความคุ้มครองดังกล่าว จะยกเว้นความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเคยเจ็บป่วยจากผลกระทบหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ก่อนวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 หรือก่อนวันที่เริ่มมีผลคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพที่ลูกค้าถือครอง และยกเว้นความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วยจากผลกระทบหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง (Waiting Period)
สาหรับผู้ที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ โทร. 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือดูรายละเอียดที่ www.muangthai.co.th

โออาร์ ปลื้มผลประกอบการไตรมาสแรก กำไรพุ่ง 4,000 ล้านบาท

OR เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 4,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,079 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.9% จากไตรมาสก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.38 บาท สูงกว่าไตรมาสก่อน 0.06 บาท หรือเพิ่มขึ้น 18.8% สะท้อนผลการดำเนินการที่แข็งแกร่ง พร้อมมุ่งขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตร เพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า จากที่ OR ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 และเป็นหุ้นที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตลาดหุ้นไทยที่มีรายการจองซื้อและจำนวนผู้ถือหุ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยวิธีการกระจายหุ้นแบบ Small Lot First ให้ประชาชนได้ร่วมเป็นเจ้าของ OR อย่างทั่วถึง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ OR ในการเติบโตไปพร้อมกับคนไทย สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 OR มีกำไรสุทธิ 4,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,079 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หรือเพิ่มขึ้น 2,106 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 จากปัจจัยหลักคือการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของผลิตภัณฑ์น้ำมัน

สำหรับผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีรายได้ขายและบริการ 118,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,964 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.2% จากไตรมาสก่อน โดยหลักจากรายได้เฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ซึ่งราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ปรับตัวลดลงจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้อุปสงค์ของผู้บริโภคลดลง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางไตรมาส มีการจัดกิจกรรมทางการตลาดซึ่งสามารถกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับรายได้กลุ่มธุรกิจต่างประเทศนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา OR ได้เข้าลงทุนในบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ในสัดส่วน 20% เป็นการต่อยอดธุรกิจ F&B ภายใต้แบรนด์โอ้กะจู๋ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ รวมถึง สนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรผู้ปลูกผักในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และ Café Amazon รวมทั้งยังได้ร่วมกับ LINE MAN Wongnai เปิดให้บริการ LINE MAN Kitchen ซึ่งเป็นคลาวด์ คิทเช่นในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เพิ่มเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค โดยใช้ PTT Station เป็นแพลตฟอร์มให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าและบริการที่นอกเหนือจากการเติมน้ำมัน ตามแนวคิด Retailing Beyond Fuel นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับ GPSC เปิดตัวโครงการ G-Box ซึ่งเป็นระบบกักเก็บพลังงานผ่านแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System หรือ BESS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านบริหารจัดการพลังงานร่วมกับ EV Station ถือเป็นนวัตกรรมพลังงาน ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มเสถียรภาพการใช้ไฟฟ้า ทั้งในด้านการลดต้นทุนค่าพลังงาน และป้องกันไฟฟ้าตกหรือดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด รองรับความต้องการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต

“การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปตามทิศทางกลยุทธ์ของ OR ที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน ตอบโจทย์คนเดินทางในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน (Inclusive Growth) สร้างชุมชนที่น่าอยู่ (Living Community) และสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ (Healthy Environment) ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นายพิจินต์ กล่าว

ซีพีเอฟ ชู “บรรจุภัณฑ์​ยั่งยืน” มาตรฐานความปลอดภัย​ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นายกิตติ​ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ในฐานะประธานคณะทำงานบรรจุภัณฑ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ตอกย้ำคุมเข้มความปลอดภัยสูงสุดทั้งอาหารและบรรจุภัณฑ์​พลาสติก ใช้วัตถุดิบ Food Grade ที่ป้องกันการปนเปื้อนต่ออาหาร ช่วยคงคุณค่าทางโภชนาการ​ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรการสุขอนามัย​เข้มระหว่างขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค และมุ่งมั่นมีส่วนร่วมลดปริมาณขยะจากการบริโภค

นอกจาก​มาตรการคุมเข้มความปลอดภัยในการผลิตอาหารทุกขั้นตอนแล้ว ซีพีเอฟยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารและเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาคุณภาพของอาหารให้ดีที่สุดด้วย โดยมุ่งมั่นศึกษาและนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายค​วามยั่งยืน​ในการเป็นผู้นำการผลิตอาหารมั่นคงและปลอดภัย​

ในช่วงการระบาดของ โควิด-19 ซีพีเอฟ ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารอยู่ในบรรจุภัณฑ์​ที่ปลอดภัย ภายใต้ โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด – 19” ให้กับแพทย์ บุคลากร​ทาง​การแพทย์​ ผู้ป่วย ผู้กักตัว เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้คนกลุ่มนี้ เข้าถึงอาหารที่มีคุณค่า ปลอดภัยปลอดโรค จากการผลิตที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้
99.9% ของบรรจุภัณฑ์อาหารพลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือ นำมาใช้ใหม่ หรือ นำไปผลิตเป็นสินค้าใหม่ หรือย่อยสลายงหมด ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิ​ภาพสูงสุด

บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้บรรจุอาหารของซีพีเอฟ ทั้งหมดเป็นคุณภาพ Food Grade ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล มีคุณสมบัติสามารถป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคจากภายนอก ช่วยคงคุณค่าทางโภชนาการในอาหารได้ตลอดการจัดเก็บ และไม่ทิ้งสารตกค้างเมื่อสัมผัสกับอาหาร และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารแช่แข็งที่ปลอดภัยต่อการอุ่นร้อนในไมโครเวฟ

ทั้งนี้ ซีพีเอฟใช้เครื่องจักรในการบรรจุอาหาร เพื่อลดการสัมผัสของคน ลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนของเชื้อโรค ตลอดจนขนส่ง และจัดเก็บสินค้าตามมาตรการป้องกันการปนเปื้อนบนบรรจุภัณฑ์ที่เข้มงวด เพื่อเป็นหลักประกัน​การ​ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความ​ปลอดภัยสูงสุดให้ผู้บริโภค

ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์​ ซีพีเอฟ ยังให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาการออกแบบและการจัดการบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมีการสรรหาเทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารที่สามารถช่วยยืดอายุการเก็บอาหารให้ยาวขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดขยะอาหาร และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีการใช้พลาสติก และพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้ออาหารสำเร็จรูปพร้อมทานมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟ ยังส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุทางเลือกอื่นๆ เช่น กระดาษรีไซเคิล วัสดุหมุนเวียน ทดแทนการใช้พลาสติก เช่น ถาดไข่ไก่สด ปลอดสาร CP Selection Cage Free ที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลทั้งหมด และในส่วนของถาดพลาสติก PET มีสัดส่วนของพลาสติกรีไซเคิล ในชั้นที่ไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับไข่ไก่อยู่ถึง 60 % รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมบรรจุุภัณฑ์ใหม่ร่วมกับคู่ค้าผู้ผลิตบรรจุุภัณฑ์สำหรับสินค้าหมูสด และไก่สดแช่เย็น CP Selection และ ผลิตภัณฑ์ CP ไข่ม้วนออมเล็ต ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลาสติกฟิล์ม 2 ชั้นที่เป็นชนิดเดียวกัน(Mono Material) ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้สามารถรีไซเคิลได้ 100% (100% Recyclable)

เพื่อส่งเสริม​การผลิตอาหารมั่นคงและยั่งยืน ซีพีเอฟ สนับสนุนการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ เช่น ถาดพลาสติกใสชีวภาพ Polylactic acid (PLA) ที่ผลิตจากพืช ย่อยสลายได้100% โดยเริ่มต้นใช้กับเนื้อหมูและไก่สดแช่แย็น ที่ ซีพี บุชเชอร์ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี2558 และได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบัน ซีพีเอฟ ได้ใช้ถาดนี้ไปแล้วกับอาหารมากกว่า 20 ล้านชิ้น

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นมีส่วนร่วมลดขยะพลาสติก โดย​ตั้งเป้าว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด ที่นำมาใช้บรรจุอาหารสามารถต้องนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือ นำมาใช้ใหม่หรือนำไปผลิตเป็นสินค้าใหม่ หรือย่อยสลายได้ภายในปี 2568 สำหรับกิจการประเทศไทย และ ปี 2573 สำหรับกิจการต่างประเทศและได้เข้าร่วมโครงการส่งพลาสติกกลับบ้านกับเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network: TRBN) ในการเป็นจุดรับขยะพลาสติก (Drop Point) รวบรวมขยะพลาสติกไปทำการรีไซเคิล อีกทั้งขับเคลื่อนเรื่องของการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง (Single-use) ได้แก่การจัดทำสื่อรณรงค์และให้ความรู้พนักงาน ในการล้างแยกทิ้งขยะพลาสติก ภายใต้หลักการ 4 Rs ได้แก่ Reduce Reuse Recycle Rethink เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกในช่วงของการระบาดอีกทางหนึ่ง

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนเมษายน 2564

ในช่วงมกราคม-เมษายน 2564 แต่ละประเทศทยอยฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้ประชากรโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผลให้ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจโลกว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติ และปรับประมาณการเติบโตของ GDP โลกเพิ่มขึ้นจาก 5.5% เป็น 6.0% โดยการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ในประเทศไทย ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์ปรับลดประมาณการเติบโตของ GDP ลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเพราะได้รับปัจจัยบวกจากภาคการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 1/2564 ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวแข็งแกร่งอีกทั้งนักวิเคราะห์ยังปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 SET Index  ปิดที่ 1,583.13 จุด เพิ่มขึ้น 9.2 % จากจากสิ้นปี 2563 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ จากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่ทยอยประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค  และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 SET Index  ปิดที่ 1,583.13 จุด เพิ่มขึ้น 9.2 % จากจากสิ้นปี 2563 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในขณะที่ SET Index ปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า
  • ในเดือนเมษายน 2564 หลายอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
  • ในเดือนเมษายน 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 93,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.0% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 4 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 96,115 ล้านบาท
  • ในเดือนนี้ผู้ลงทุนในประเทศยังคงมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ 51.6% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด โดย      ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยในเดือนเมษายน 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,446 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 32,816 ล้านบาท
  • ในเดือนเมษายน 2564 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 1 บริษัท และใน mai 2 บริษัท โดยใน 4 เดือนแรกปี 2564 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากการเข้าจดทะเบียนของบมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR)
  • Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 อยู่ที่ระดับ 19.5 เท่า และ 39.3 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.8 เท่า และ 22.6 เท่าตามลำดับ
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 อยู่ที่ระดับ 2.39% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.34%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนเมษายน 2564 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 473,676 สัญญา ลดลง 23.80% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures, Single Stock Futures และ Gold Online Futures

AIS คว้าสองรางวัลใหญ่ ตอกย้ำความสำเร็จด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการองค์ความรู้ในองค์กร

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติระดับชาติและระดับโลก “Thailand  Mike Award 2020” และ “Global Mike Award 2020” ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของไทยที่สนับสนุนให้เกิดการสร้างองค์กรแห่งนวัตกรรมและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นบทพิสูจน์ว่าเอไอเอสเป็นองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และไม่หยุดยั้งในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามายกระดับการบริหารจัดการองค์กร พร้อมสร้างคุณค่าในด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เมื่อเอไอเอสประกาศวิสัยทัศน์สู่การเป็น Digital Life Service Provider สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดคือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นปลูกจิตสำนึกถึงการนำนวัตกรรมมาใช้ทั้งในแง่ของการปรับรูปแบบการทำงานและวิธีคิดของพนักงาน รวมถึงการบริหารจัดการองค์ความรู้ที่จะถ่ายทอดซึ่งกันและกันผ่าน Digital Platform ก่อให้เกิดขีดความสามารถรูปแบบใหม่ที่ตอบสนองโลกในยุค Digitalization นำไปสู่ผลงานที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในท้ายที่สุด

ตัวอย่างผลงานจากวิสัยทัศน์ดังกล่าว อาทิ การบริหารจัดการองค์ความรู้ หรือ  Knowledge Management ผ่าน Digital Platform ในชื่อ LearnDi ที่เป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดองค์ความรู้และขับเคลื่อน Innovation Culture ภายในองค์กร, การเปิดเวทีให้พนักงานได้นำเสนอ New Business ที่ใช้เทคโนโลยีมาแก้ Pain point ในลักษณะของ Internal Start Up ในชื่อ โครงการ InnoJUMP ซึ่งสามารถนำไอเดียไปสู่การสร้างธุรกิจได้จริง อาทิ โครงการรถโรงเรียนอัจฉริยะ – School Van Clever, โครงการ Academy For Thais ภารกิจคิดเผื่อเพื่อคนไทย ที่ส่งต่อแนวคิดและองค์ความรู้ไปสู่คนไทยให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจากกระแส Digital Transformation ผ่านเวทีสัมนาและ Digital Platform รวมถึง “โครงการเรียนรู้จากเคยล้ม” ที่ส่งเสริมให้พนักงานใช้บทเรียนจากความผิดพลาดเป็นการเรียนรู้สู่ความสำเร็จ เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้นอกจากจะทำให้เกิด Economic Value แล้ว ยังก่อให้เกิดการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรในลักษณะของ Innovation Organization อย่างชัดเจนอีกด้วย

ทิพยประกันภัย ปลื้มผลงาน กำไรปี 63 ทะลุ 2 พันล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ว่า บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 2,064.87 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.44 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 กำไรสุทธิ 1,863.19 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.11 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 201.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น 10.82%

โดยเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 25,398.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 21,846.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3,552.28 ล้านบาท คิดเป็น 16.26% ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับทุกประเภทต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน เบี้ยประกันอัคคีภัย เพิ่มขึ้น 6.53% เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เพิ่มขึ้น 18.34% เบี้ยประกันภัยรถยนต์ เพิ่มขึ้น 18.42% และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด เพิ่มขึ้น 16.75%

“ปี 2563 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของ บมจ.ทิพยประกันภัย ได้เติบโตอย่างโดดเด่น แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในด้านของรายได้จากการรับประกันภัย ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภท และความสามารถการทำกำไรที่ทะลุ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์” ดร.สมพร กล่าว

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯขยายตัวอย่างต่อเนื่องนั้น ดร.สมพร กล่าวว่า สืบเนื่องจากบริษัทฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และพัฒนาการให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของประชาชน

โดยล่าสุด ทิพยประกันภัย ได้มีการออกกรมธรรม์รูปแบบใหม่ “TIP อัพทูไมล์” ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ที่ออกแบบให้สามารถเลือกจ่ายเบี้ยประกันภัยได้ตามความต้องการ หรือระยะไมล์ที่ใช้อย่างแท้จริง และยังมีกรมธรรม์ TIP Personal Cyber ประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคลที่เอาใจนักช้อปออนไลน์ จากการซื้อของหรือทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมด้วย TIP SME Cyber สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงหรือความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีการจับมือกับแอปพลิเคชัน Gojek (โกเจ็ก) เปิดโครงการ “มั่นใจทุกการส่งกับ GoSend” เพื่อให้ทุกการส่งกับ GoSend ทุกชิ้นได้รับความคุ้มครอง

ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2564 นั้น ดร.สมพร กล่าวว่า นโยบายสำคัญที่ต้องเดินหน้าในปีนี้ คือ การปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการดำเนินการยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ภายใต้ชื่อบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการจัดการองค์กร

“ทิพยประกันภัย ยังคงยึดกลยุทธ์เพิ่มลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร รวมถึงสร้างแบรนด์ให้เป็นบริษัทประกันภัยในดวงใจของลูกค้า นึกถึงทิพยประกันภัยเป็นอันดับแรก (Top of Mind) ด้วยการสื่อสารถึงความเป็นตัวตนและบริการที่เป็นเลิศ ผ่านการสื่อสารอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและประชาชนในการใช้บริการของทิพยประกันภัยมากขึ้น”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ให้ความสำคัญเอาใจใส่กับลูกค้าและช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อาทิ น้ำท่วม เพลิงไหม้ บริษัทฯ จะส่งทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภูมิภาค รวมทั้งส่วนกลาง โดยเฉพาะทีม TIP Smart Assist ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนอย่างทันท่วงที เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถก้าวผ่านวิกฤตและกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้อย่างรวดเร็ว

ซีพีเอฟ เปิดตัวยูฟาร์ม ‘หมูชีวา’ นวัตกรรมเนื้อหมู โอเมก้าสูง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ หมูชีวา แบรนด์ยูฟาร์ม นวัตกรรมหมูชีวา มีโอเมก้า 3 สูง ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ พัฒนาอาหาร และวิธีการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ต่อยอดจากมาตรฐานปศุสัตว์โอเคของกรมปศุสัตว์ ตามแนวทางอาหารปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รับการรับรองจาก NSF และเพิ่งคว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมจากงาน THAIFEX – Anuga Asia 2020 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดตัว พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ให้การต้อนรับ และมี น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ให้เกียรติร่วมงาน

ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า อาหารเพื่อสุขภาพยังคงเป็นที่นิยมและมีความต้องการบริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยูฟาร์มก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับผลิตภัณฑ์ไก่เบญจา จึงได้ทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง กระทั่งพบความสำเร็จอีกครั้งกับนวัตกรรม “เนื้อหมูชีวา” เนื้อหมู มีโอเมก้า 3 สูง ซึ่งสามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ทั้งใส่ใจในสุขภาพและให้ความสำคัญกับหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare)

“เนื้อหมูชีวา เป็นนวัตกรรมเนื้อสัตว์ที่เราทำการพัฒนาหมู ตั้งแต่สายพันธุ์ อาหารที่เลี้ยง ตลอดจนวิธีการเลี้ยง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยมีงานวิจัยรองรับ ตลอดจนได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงจาก NSF ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในด้านการรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ในระดับนานาชาติ และคว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมอาหารจากงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก THAIFEX–Anuga Asia 2020” นายประสิทธิ์กล่าว

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวิชาการอาหารสัตว์บก กล่าวว่า อาหารของหมูชีวามีความพิเศษและแตกต่างจากอาหารหมูทั่วไป เนื่องจากใช้ซูเปอร์ฟู้ดอย่างเมล็ด flaxseed น้ำมันปลา และสาหร่ายทะเลลึก มาเป็นวัตถุดิบในสูตรอาหาร เพื่อเป็นแหล่งของโอเมก้า3 ให้หมูชีวาสามารถสะสมสร้างเป็นไขมันดีเพื่อสุขภาพได้สำเร็จ

สำหรับด้านการเลี้ยงหมูชีวา จากพื้นฐานสำคัญของฟาร์มมาตรฐานปศุสัตว์โอเคของกรมปศุสัตว์ ซีพีเอฟได้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุดภายในฟาร์มระบบปิดที่มีการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดและเป็นโรงเรือนปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ ส่งผลให้หมูชีวาอยู่สบาย แข็งแรง ไม่ป่วย นอกจากนี้ยังเลี้ยงหมูชีวาใน “คอกขังรวม (Group Pen)” ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ให้แม่พันธุ์อุ้มท้องมีอิสระในการเคลื่อนไหวและมีปฏิสัมพันธ์กับสุกรตัวอื่นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคือไม่มีการใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ปราศจากสารเร่งเนื้อแดง และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู จึงมั่นใจได้ว่าหมูชีวาปลอดภัยและเหมาะมากสำหรับทุกคนในครอบครัว

ด้าน นายเฉลิมชัย รมว.กระทรวงเกษตรกและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นโยบาย 3S เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ประกอบด้วยกรอบการทำงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงทางอาหาร (Security) และความยั่งยืนภาคเกษตร (Sustainability) ที่จะสนับสนุนและมุ่งเป้าให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตอาหารที่ดีและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค ขณะที่ซีพีเอฟถือเป็นภาคเอกชนที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบาย 3S โดยเป็นทั้งผู้ผลิตอาหารปลอดภัย ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประเทศ และต่อยอดนวัตกรรมไปถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร “หมูชีวา” ซึ่งป็นการเพิ่มทางเลือกที่ดีสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างน่าชื่นชม

น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้วาง “มาตรฐานปศุสัตว์โอเค” ซึ่งเป็นการกำกับดูแลการผลิตอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ตั้งแต่ต้นทางคือ ฟาร์ม โรงชำแหละ และจุดจำหน่าย รวมทั้งตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายอาหารปลอดภัยให้ผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ดี โดยซีพีเอฟเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้ทั้ง 100% รวมทั้งมาตรฐานด้าน Animal welfare หรือ หลักสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดี “หมูชีวา” จึงเป็นต้นแบบของศักยภาพผู้ประกอบการไทยที่มีการวิจัยพัฒนาและต่อยอดนำไปสู่นวัตกรรมอาหารของไทยที่ไม่แพ้ชาติอื่นในโลก

ด้าน รศ.นพ. กัมมาล กุมาร ปาวา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า แนวคิด “การกินอาหารเป็นยา” หรือ “Food as Medicine” เป็นทางเลือกของการกินอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี และจากผลจากการทดสอบในสัตว์ทดลองบ่งชี้ว่าเมื่อสัตว์ทดลองทานอาหารที่ปรุงจากผลิตภัณฑ์จากหมูชีวา (น้ำมันหมู) ปริมาณไขมันในกระแสเลือด ซึ่งประกอบด้วย โคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, และ LDL นั้น มีปริมาณต่ำกว่าสัตว์ทดลองกลุ่มที่ทานอาหารที่ปรุงจากน้ำมันมะพร้าวอย่างมีนัยยะสำคัญ

“ผลการทดลองดังกล่าวเป็นผลมาจากการสะสมของกรดไขมันโอเมก้า 3 ในผลิตภัณฑ์หมูชีวาที่มีสูงกว่าเนื้อหมูทั่วไป ซึ่งโอเมก้า3 นี้มีความสำคัญมากต่อสุขภาพของมนุษย์ เนื่องจากมีคุณสมบัติ ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทั้งโคเลสเตอรอล (Cholesterol), ไขมันชนิดไม่ดี (LDL), และไตรกลีเซอรืไรด์ (Triglyceride) ซึ่งจะมีส่วนช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ”

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์หมูชีวามุ่งเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนรักสุขภาพ พ่อแม่ยุคใหม่ที่ใส่ใจการเลือกอาหารให้ลูก ผู้ใหญ่วัยกลางคน และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีแผนทำการตลาดร่วมกับร้านอาหารชั้นนำ ร้านอาหารระดับพรีเมียม รวมถึงร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เพื่อสร้างการรับรู้ กระตุ้นให้เกิดการทดลองบริโภคหมูชีวา ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพเนื้อหมูพรีเมี่ยมเพื่อสุขภาพอย่างหมูชีวาได้ในที่สุด

AIS จับมือ Wisesight จัดงาน Thailand Zocial AIS Gaming Awards ครั้งแรกในไทย

นายอลิสแตร์ เดวิด จอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ร่วมกับ บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด (Wisesight) จัดงานมอบรางวัล Thailand Zocial AIS Gaming Awards งานประกาศรางวัลครั้งแรกของวงการเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทย เพื่อร่วมเชิดชูและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมในด้านเกมและอีสปอร์ตตลอดปีที่ผ่านมา ยกระดับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอีสปอร์ต อีโคซิสเต็ม พร้อมผลักดันไทยสู่อีกขั้นของการเป็นฮับอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถนำข้อมูลบนโซเชียล

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ กล่าวว่า ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับเอไอเอส ในการเข้ามามีบทบาทยกระดับอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในวงกว้าง โดยได้พัฒนา GAMING METRIC สำหรับวัดประสิทธิภาพบนโซเชียลมีเดียในด้านเกมและอีสปอร์ต เพื่อเชิดชูผู้เกี่ยวข้องในอีสปอร์ต อีโคซิสเต็ม อย่างเหมาะสม สร้างสรรค์ และมีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียล สร้างมาตรฐานใหม่ที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งจะเป็นอีกส่วนสำคัญของการร่วมฟื้นฟูและผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

Thailand Zocial AIS Gaming Awards 2020 จะมีการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูผู้ที่ทำงานได้ดีบนโซเชียลมีเดียจำนวน 33 รางวัลให้กับเหล่า Game publisher, Game Creator, e-Sport Player, e-Sport club, game caster รวมถึง devices และ gadget โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มรางวัล ได้แก่

1. The most popular game publisher จำนวน 13 รางวัล

2. The most popular game creator จำนวน 2 รางวัล

3. The most popular game creator by platform จำนวน 2 รางวัล

4. The most popular e-Sport Player and e-Sport club จำนวน 8 รางวัล

5. The most popular game caster จำนวน 1 รางวัล

6. The most popular game devices & gadget จำนวน 5 รางวัล

7. Special Awards จำนวน 2 รางวัล

Wisesight ได้พัฒนา GAMING METRIC โดยเก็บข้อมูลจากโซเชียลมีเดียทั้งหมด 5 ช่องทาง ได้แก่ Facebook, Instagram, Twitter, YouTube และ Twitch ซึ่งใช้เกณฑ์การวัดผลทั้งหมด 7 ปัจจัยด้วยกันคือ วัดปริมาณกลุ่มเป้าหมาย และผู้ติดตาม (Fans Base), วัดความสามารถในการโน้มน้าว (Intention), วัดระดับการแนะนำเนื้อหาให้กับเพื่อนหรือคนรู้จัก (Recommendation), วัดประสิทธิภาพ หรือความสนใจต่อเนื้อหา (Interaction), วัดระดับความสนใจของผู้ติดตามที่มีต่อเนื้อหา (View), วัดระดับการ กระจายเนื้อหาผ่านปริมาณการแชร์บนโซเชียลมีเดีย (Share), วัดปริมาณการพูดถึงผลงานของเกมครีเอเตอร์ เกมแคสเตอร์ นักกีฬา e-sport เกมต่างๆ จากโซเชียลมีเดีย และ (Social Voice)